อีสุกอีใส เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella virus) ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับเชื้อที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด ส่งผลให้เกิดผื่นคัน และตุ่มน้ำใสขนาดเล็ก บนผิวหนังทั่วทั้งร่างกายซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทารก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ผู้ที่ตั้งครรภ์ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อีกทั้งยังสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ผ่านทางการสัมผัสสารคัดหลั่งและละอองฝอยที่มีเชื้อไวรัส ดังนั้น หากสังเกตว่า มีไข้ รู้สึกอยากอาหารน้อยลง และเริ่มมีผื่นขึ้น ควรเข้าพบคุณหมอ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที ก่อนแพร่กระจายติดต่อไปยังบุคคลอื่น
คำจำกัดความ
อีสุกอีใส คืออะไร
อีสุกอีใส คือ โรคจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับเชื้อที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด เชื้อนี้มีระยะฟักตัวประมาณ 10-20 วัน หลังจากได้รับเชื้อ ก่อนจะค่อย ๆ ปรากฏอาการผื่นคันและตุ่มน้ำใสขนาดเล็กทั่วทั้งร่างกาย เช่น ใบหน้า หลัง หน้าอก แขน ขา และอาจมีอาการรุนแรงมาก โดยเฉพาะในทารก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ สตรีตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
เชื้อไวรัสวาริเซลลาสามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ผ่านทางการหายใจหรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งและละอองฝอยที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ซึ่งอาจมาจากการไอ จาม หรือจากการพูดคุยใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อ
อาการ
อาการของอีสุกอีใส
อาการของอีสุกอีใส มีดังนี้
- มีตุ่มสีแดงหรือชมพูขึ้นตามลำตัว ซึ่งอาจพัฒนากลายเป็นแผลพุพอง ตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง และกลายเป็นสะเก็ด มีหลายระยะของผื่นบนผิวหนัง
- มีไข้
- ปวดศีรษะ
- เจ็บคอ
- ปวดเมื่อยร่างกาย และเหนื่อยล้า
- รู้สึกเบื่ออาหาร
- มีผื่น อาการคัน
หากสังเกตว่ามีอาการข้างต้น และมีผื่นแดงที่ลุกลามไปยังบริเวณดวงตา พร้อมกับมีอาการไอ วิงเวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดท้องรุนแรง อาเจียนบ่อยครั้ง และไข้สูงเกินกว่า 38.9 องศานานเกินกว่า 4 วัน ควรเข้าพบคุณหมอทันที
สาเหตุ
สาเหตุของอีสุกอีใส
สาเหตุของอีสุกอีใสเกิดจากการที่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัสวาริเซลลา ที่แพร่กระจายลอยอยู่ในอากาศ ผ่านทางการไอและจาม อีกทั้งยังอาจแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผื่นและแผลอีสุกอีใสโดยตรง
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของอีสุกอีใส
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นอีสุกอีใส มีดังนี้
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี เนื่องจากอาจมีระบบภูมิคุ้มกันที่พัฒนาไม่เต็มที่
- การไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส
- ผู้ที่ทำงานในสถานที่ที่มีเด็กอยู่มาก เช่น โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก
- ผู้ที่สูบบุหรี่
- ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เนื่องจากการรักษาด้วยเคมีบำบัด รวมถึงโรคต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง เอชไอวี/เอดส์ หรือการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยของอีสุกอีใส
คุณหมออาจวินิจฉัยจากลักษณะของผื่นที่ผู้ป่วยเป็น หรืออาจเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อนำไปตรวจอย่างละเอียดว่ากำลังเสี่ยงเป็นโรคอีสุกอีใสอยู่หรือไม่
การรักษาอีสุกอีใส
การรักษาของอีสุกอีใส มีดังต่อไปนี้
- ยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) หรือยาพาราเซตามอล สำหรับลดไข้และบรรเทาอาการปวดศีรษะ เจ็บปวดแผลบนผิวหนัง เหมาะกับสตรีตั้งครรภ์และเด็กอายุมากกว่า 2 เดือน
- ยาต้านไวรัส เช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ควรรับประทานภายใน 24 ชั่วโมงแรก เพราะอาจช่วยลดความรุนแรงของโรคอีสุกอีใสได้ หรืออาจรับประทานยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) หรือยาแฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) ซึ่งคุณหมออาจพิจารณาตามอาการและภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคลก่อนให้รับประทาน
- ยาแก้แพ้ เช่น ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการคัน ซึ่งควรได้รับการอนุญาต จากคุณหมอก่อนรับประทาน
- ประคบผิวหนัง คุณหมออาจแนะนำให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบบริเวณผิวหนังที่มีอาการคันมาก ไม่ควรเกาผิวรุนแรงเพราะอาจทำให้เกิดแผล อีกทั้งยังเสี่ยงแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นได้
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอีสุกอีใส
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอีสุกอีใส อาจทำได้ด้วยการฉีดวัคซีนอีสุกอีใส ตามช่วงวัย ดังนี้
- ทารก ควรได้รับการฉีดวัคซีนให้ครบ 2 โดส โดยครั้งที่ 1 เมื่ออายุ 12-15 เดือน และครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี หรือตามเกณฑ์ตารางการฉีดวัคซีนที่คุณหมอกำหนด
- เด็ก ผู้ที่ยังไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีน ควรเข้ารับการฉีดเมื่ออายุ อยู่ในช่วงอายุ 7-12 ปี ให้ครบ 2 โดส โดยห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน สำหรับเด็กที่อายุ 13 ปีขึ้นไป ควรได้รับการฉีดวัคซีน 2 โดส แต่ละโดสห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์
- ผู้ใหญ่ รวมถึงเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ครู พนักงานดูแลเด็ก และผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง ที่ยังไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันอีสุกอีใส ควรได้รับวัคซีน 2 โดส แต่ละโดสห่างกัน 4-8 สัปดาห์ สำหรับสตรีตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และผู้ที่แพ้ยาปฏิชีวนะ อาจจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อให้คุณหมอประเมินว่าสามารถฉีดวัคซีนอีสุกอีใสได้หรือไม่ เพื่อความปลอดภัย
สำหรับผู้ที่เป็นอีสุกอีใสและอยู่ร่วมกับคนในครอบครัว ไม่ควรใช้สิ่งของร่วมกัน สวมหน้ากากอนามัย และควรหยุดเรียน หยุดทำงาน หากในบ้านมีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และสตรีตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน ควรแยกตัวออกไปรักษาในโรงพยาบาล เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
[embed-health-tool-heart-rate]