ภาวะต่อมเหงื่ออักเสบ (Hidradenitis Suppurativa หรือ HS) บางครั้งเรียกว่า “โรคสิวอักเสบเรื้อรังที่รักแร้ (Acne inversa)” เป็นภาวะอักเสบเรื้อรังที่ส่งผลทำให้เกิดแผลที่เต็มไปด้วยของเหลว ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ซึ่งอาจมีปัจจัยบางอย่างมากระตุ้น เช่น อาหาร สภาพอากาศ การสูบบุหรี่ ความเครียด การทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของภาวะต่อมเหงื่ออักเสบ อาจช่วยให้สามารถรับมือกับภาวะนี้ได้ดีขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้เกิด ภาวะต่อมเหงื่ออักเสบ
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบของต่อมเหงื่อนั้น ยังไม่มีการระบุที่ชัดเจน แต่ก็มีปัจจัยต่าง ๆ รวมไปถึงพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดการอักเสบของต่อมเหงื่อได้ เหล่านี้
อาหาร
อาหารที่กินเข้าไปอาจมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการอักเสบของต่อมเหงื่อ เนื่องจากการอักเสบของต่อมเหงื่ออาจได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนบางส่วน ซึ่งอาหารที่มีนมและน้ำตาล สามารถเพิ่มระดับอินซูลินและทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนบางชนิดที่เรียกว่า “แอนโดรเจน (Androgens)” มากเกินไป ซึ่งอาจทำให้การอักเสบของต่อมเหงื่อแย่งลงได้
การวิจัยจากแหล่งที่เชื่อถือได้ยังระบุด้วยว่า ยีสต์สายพันธุ์ใช้ผลิตเบียร์ ซี่งเป็นส่วนประกอบทั่วไปในอาหาร เช่น ขนมปัง เบียร์ และแป้งพิซซ่า อาจทำให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงในบางคนที่มีการอักเสบของต่อมเหงื่อ
การจำกัดผลิตภัณฑ์จากนม ขนมหวาน และยีสต์ที่ใช้ผลิตเบียร์ที่ดื่มเข้าไป อาจสามารถป้องกันไม่ให้เกิดแผลใหม่จากการอักเสบของต่อมเหงื่อได้ ทั้งยังช่วยให้สามารถจัดการกับอาการที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรคอ้วน
การศึกษาจากแหล่งที่เชื่อถือได้พบว่า ผู้ที่เป็นโรคอ้วนมีโอกาสที่จะเกิดการอักเสบของต่อมเหงื่อสูงขึ้น และมีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรงขึ้น เนื่องจากการอักเสบของต่อมเหงื่อก่อตัวขึ้นในบริเวณร่างกายที่ผิวสัมผัสกัน การเสียดสี และรอยพับของผิวหนังส่วนเกิน สามารถเพิ่มศักยภาพการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้การอักเสบของต่อมเหงื่อลุกลามมากขึ้น
หากรู้สึกว่าน้ำหนักอาจมีส่วนทำให้เกิดการอักเสบของต่อมเหงื่อ ควรปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก การออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารที่มีประโยชน์ 2 สิ่งนี้ เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในการลดน้ำหนัก ซึ่งจะช่วยลดการเสียดสีของร่างกายและลดการทำงานของฮอร์โมนบางอย่างที่อาจทำให้เกิดการอักเสบของต่อมเหงื่อได้
ดังนั้น เพื่อผลลัพธ์ของการลดน้ำหนักที่ดีที่สุด การปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับการออกแบบระบบการออกกำลังกายประจำวัน และแผนการกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ จึงเป็นส่วนที่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง
สภาพอากาศ
สภาพอากาศอาจส่งผลต่อความรุนแรงของการอักเสบของต่อมเหงื่อ บางคนอาจมีอาการเมื่อสัมผัสกับอากาศร้อนชื้น หากรู้สึกเหงื่อออกและไม่สบายตัวอยู่บ่อย ๆ ให้พยายามจัดการอุณหภูมิในพื้นที่ด้วยเครื่องปรับอากาศหรือพัดลม นอกจากนี้ควรทำผิวแห้งด้วยการซับเหงื่อด้วยผ้าขนหนูนุ่ม ๆ
สารระงับกลิ่นกายและผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อบางชนิด เป็นที่ทราบกันดีว่าอาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณใต้วงแขน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดการอักเสบของต่อมเหงื่อ พยายามเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนผสมต้านเชื้อแบคทีเรียจากธรรมชาติ เช่น เบกกิ้งโซดา และอ่อนโยนต่อผิวบอบบาง
สูบบุหรี่
หากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ ควรจะทราบดีว่า การใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การสูบบุหรี่อาจทำให้การอักเสบของต่อมเหงื่อแย่ลง จากการศึกษาในปี ค.ศ. 2014 พบว่า การสูบบุหรี่มีความเชื่อมโยงกับการอักเสบของต่อมเหงื่อและทำให้การอักเสบของต่อมเหงื่อรุนแรงขึ้น
แม้การเลิกสูบบุหรี่ไม่ใช้เรื่องง่าย แต่มีแหล่งข้อมูลมากมายที่จะช่วยให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ยังมีกลุ่มสนับสนุนการเลิกบุหรี่ ยาสำหรับผู้เลิกบุหรี่ที่ต้องสั่งโดยแพทย์ และแอปสมาร์ทโฟนที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ควรจะปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีการเลิกบุหรี่
เสื้อผ้ารัดรูป
การอักเสบของต่อมเหงื่ออาจเกิดจากการใส่เสื้อผ้าก็เป็นได้ การเสียดสีที่เกิดจากการสวมเสื้อผ้าใยสังเคราะห์ที่รัดรูป บางครั้งอาจทำให้เกิดการระคายเคือง พยายามใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ และระบายอากาศได้ดี เมื่อประสบกับการอักเสบของต่อมเหงื่อ หลีกเลี่ยงเสื้อชั้นในและชุดชั้นในที่ทำจากยางยืดรัดรูปจะเป็นการดีที่สุด
ความเครียด
อีกหนึ่งตั้งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการอักเสบของต่อมเหงื่อ ก็คือ ความเครียด หากรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลบ่อยครั้ง อาจทำให้การอักเสบของต่อมเหงื่อทวีความรุนแรงขึ้น พยายามเรียนรู้เทคนิคการลดความเครียดขั้นพื้นฐาน เช่น การหายใจลึก ๆ การทำสมาธิ หรือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยให้สงบเมื่อรู้สึกตึงเครียด การฝึกเทคนิคการลดความเครียดเหล่านี้ใช้เวลาเพียงไม่นานและสามารถทำได้เกือบทุกที่
สรุปสาระสำคัญ
แม้ว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำอยู่เป็นประจำอาจจะไม่สามารถรักษาการอักเสบของต่อมเหงื่อได้ แต่ก็อาจจะช่วยลดอาการและความรู้สึกไม่สบายบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าลองทำทุกอย่างแล้ว แต่การอักเสบของต่อมเหงื่อยังไม่ดีขึ้น ควรจะต้องไปปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการดีที่สุด
[embed-health-tool-heart-rate]