กล้ามเนื้อกระตุก (muscle Twitching) คือ อาการที่กล้ามเนื้อมัดเล็กเกิดการหดตัว มักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่แล้วไม่น่ากังวลและไม่เป็นอันตรายร้ายแรง อย่างไรก็ตาม อาการกล้ามเนื้อกระตุกอาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางระบบประสาท เช่น เส้นประสาทถูกกดทับ ซึ่งต้องเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที
[embed-health-tool-bmr]
คำจำกัดความ
กล้ามเนื้อกระตุก คืออะไร
กล้ามเนื้อกระตุก (muscle fasciculation หรือ Muscle Twitching) เป็นอาการที่กล้ามเนื้อมัดเล็กในร่างกายเกิดการหดตัว กล้ามเนื้อสร้างขึ้นจากเส้นใยที่ควบคุมด้วยเส้นประสาท ถ้าถูกกระตุ้นหรือเกิดความเสียหายกับเส้นประสาท ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ใยกล้ามเนื้อหดตัวได้
อาการกล้ามเนื้อกระตุกโดยทั่วไป มักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวและไม่น่ากังวล แต่ในบางกรณี ก็อาจเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงปัญหาทางระบบประสาท ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลทันที
กล้ามเนื้อกระตุกพบบ่อยเพียงใด
กล้ามเนื้อกระตุกพบได้ทั่วไป สามารถเกิดขึ้นได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จัดการได้ด้วยการลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
อาการ
อาการของกล้ามเนื้อกระตุก
สัญญาณและอาการที่มักพบมีดังนี้
- กระสับกระส่าย
- กล้ามเนื้อกระตุก
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- มวลกล้ามเนื้อหายไป
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรไปพบคุณหมอทันที
- กล้ามเนื้อกระตุกมาเป็นเวลานาน ไม่ยอมหาย
- เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุก และมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือสูญเสียมวลกล้ามเนื้อร่วมด้วย
สาเหตุ
สาเหตุของกล้ามเนื้อกระตุก
สาเหตุของกล้ามเนื้อกระตุกอาจมีดังนี้
- การออกกำลังกาย อาการกล้ามเนื้อกระตุก อาจเกิดขึ้นได้หลังการออกกำลังกาย เนื่องจากมีการสะสมตัวของกรดแลคติกในกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานระหว่างออกกำลังกายนั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วมักส่งผลต่อแขน ขา และหลัง
- ความเครียดและความวิตกกังวล อาการกล้ามเนื้อกระตุกที่มีสาเหตุมาจากความเครียดและความวิตกกังวลจะเรียกว่า ความผิดปกติของระบบประสาท (nervous ticks) สามารถส่งผลกระทบได้ต่อกล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกาย
- การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน การดื่มคาเฟอีนและสารกระตุ้นชนิดอื่นมากเกินไป ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อในแต่ละส่วนของร่างกายเกิดอาการกระตุกได้
- การขาดสารอาหาร ก็อาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อกระตุกได้เช่นกัน โดยเฉพาะที่บริเวณเปลือกตา น่อง และมือ ภาวะขาดสารอาหารที่พบได้ทั่วไปก็คือ ขาดวิตามินดี ขาดวิตามินบี และขาดแคลเซียม
- ภาวะขาดน้ำ การที่ร่างกายขาดน้ำก็เป็นสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวและกระตุก โดยเฉพาะตามกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นขา แขน และลำตัว
- การสูบบุหรี่ สารนิโคตินที่พบได้ในบุหรี่และผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดอื่น ก็อาจก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุกได้ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขา
- การระคายเคือง อาการกล้ามเนื้อกระตุกสามารถเกิดขึ้นได้ที่เปลือกตา หรือบริเวณรอบดวงตา เมื่อเปลือกตาหรือพื้นผิวของดวงตามีการระคายเคือง
- การใช้ยาบางชนิด อาการกล้ามเนื้อกระตุก อาจเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาเอสโตรเจน ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุกบริเวณมือ แขน หรือขาได้
- โรคกล้ามเนื้อเสื่อม (Muscular dystrophies) เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ชนิดหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลงเรื่อย ๆ สามารถก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุกได้ตามใบหน้า ลำคอ สะโพก และหัวไหล่
- โรคลูเกห์ริกส์ (Lou Gehrig Disease) หรือที่เรียกว่า โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) คือ โรคที่ทำให้เซลล์ประสาทตาย อาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่เกิดจากโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย แต่โดยปกติแล้วจะเกิดขึ้นที่แขนกับขาก่อนเป็นลำดับแรก
- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิด SMA (Spinal Muscular Atrophy) คือ โรคที่เซลล์ประสาทสั่งการเคลื่อนไหวในไขสันหลังเสียหาย ส่งผลต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และเป็นสาเหตุให้ลิ้นมีอาการกระตุกได้
- โรคไอแซ็คส์ ซินโดรม (Isaac’s Syndrome) ส่งผลต่อเส้นประสาทที่กระตุ้นใยกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการกระตุกบ่อยถี่ อาการกล้ามเนื้อกระตุกมักเกิดขึ้นที่แขนและขา
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของอาการกล้ามเนื้อกระตุก
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะกล้ามเนื้อกระตุก เช่น
- สภาพร่างกายที่อ่อนแอ
- ภาวะขาดน้ำ
- ภาวะกล้ามเนื้อล้า
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยอาการกล้ามเนื้อกระตุก
คุณหมออาจซักประวัติทางการแพทย์ และให้ตรวจร่างกาย โดยคำถามที่คุณหมออาจถาม เช่น
- กล้ามเนื้อกระตุกมานานหรือยัง
- กล้ามเนื้อกระตุกแต่ละครั้งนานแค่ไหน
- กล้ามเนื้อกระตุกบ่อยแค่ไหน
- กล้ามเนื้อส่วนใดบ้างที่กระตุก
- กล้ามเนื้อกระตุกที่บริเวณเดิมตลอดหรือไม่
- ผู้ป่วยตั้งครรภ์อยู่หรือไม่
- ผู้ป่วยมีอาการอื่นร่วมด้วยหรือไม่
การทดสอบขึ้นอยู่กับสาเหตุที่คุณหมอสันนิษฐาน ซึ่งอาจมีรายการทดสอบดังต่อไปนี้
- เจาะเลือดเพื่อตรวจเกลือแร่ในเลือด หรืออิเล็กโทรไลต์ (Electrolytes) ตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ ตรวจทางเคมีในเลือด
- ทำซีทีสแกน หรือเอ็มอาร์ไอสแกนที่สมองหรือไขสันหลัง
- การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Electromyography หรือ EMG)
การรักษาอาการกล้ามเนื้อกระตุก
อาการกล้ามเนื้อกระตุกส่วนใหญ่จะหายไปเองได้ภายในระยะเวลา 2-3 วัน โดยไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล แต่หากอาการกล้ามเนื้อกระตุกเกิดจากสาเหตุที่รุนแรง คุณหมออาจสั่งจ่ายยาดังต่อไปนี้เพื่อบรรเทาอาการ
- ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เช่น เบต้าเมทาโซน (Betamethasone) เพรดนิโซน (Prednisone)
- ยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น ไซโคลเบนซาพรีน (Cyclobenzaprine)
- ยาหย่อนกล้ามเนื้อ (Neuromuscular Blocker) เช่น อินโคโบทูลินัมท็อกซินเอ (Incobotulinumtoxin A)
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือดูแลตนเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือดูแลตนเองเพื่อรับมือกับอาการกล้ามเนื้อกระตุก
วิธีดังต่อไปนี้ อาจช่วยบรรเทาหรือลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะกล้ามเนื้อกระตุกได้
- ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร โดยเน้นผักและผลไม้สด ธัญพืชเต็มเมล็ด ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตคุณภาพที่ร่างกายใช้สร้างพลังงาน นอกจากนี้ ควรรับประทานโปรตีนให้เพียงพอ โดยเน้นโปรตีนไร้ไขมัน เช่น เนื้อไก่ไม่ติดหนัง เต้าหู้
- นอนหลับให้เพียงพอ ปกติแล้วจำเป็นต้องนอนหลับ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายได้มีเวลาเยียวยาและฟื้นตัว อีกทั้งยังช่วยให้ระบบประสาทได้พักผ่อนด้วย
- จัดการกับความเครียด ลดปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความเครียดในชีวิต พยายามผ่อนคลายด้วยการนั่งสมาธิ เล่นโยคะ รำมวยไทเก๊ก เป็นต้น หรืออาจออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็สามารถช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การพูดคุยกับนักบำบัดก็เป็นอีกหนึ่งวิธีคลายเครียดที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน
- จำกัดการดื่มคาเฟอีน หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ช็อกโกแลต เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุกได้
- เลิกสูบบุหรี่ คือ สารกระตุ้นชนิดอ่อนที่ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง การเลิกบุหรี่ นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะกล้ามเนื้อกระตุกแล้ว ยังอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ด้วย เช่น โรคมะเร็งปอด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- เปลี่ยนยา หากใช้ยาที่กระตุ้นให้เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุก อาจปรึกษาคุณหมอเพื่อเปลี่ยนยา