อาการปวดหัว สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวันและทุกช่วงเวลา โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกตึงเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเจ็บป่วย ที่ทำให้รู้สึกเหมือนมีแรงกดหรือรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ภายในหัว ซึ่งบางคนอาจมีอาการปวดหัวข้างเดียว หรือ ปวดหัวตุ๊บๆ ส่งผลให้รบกวนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ดังนั้น จึงควรรักษาด้วยการรับประทานยาที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาหรือเข้าพบคุณหมอโดยตรง
[embed-health-tool-bmi]
ปวดหัวตุ๊บๆ มีสาเหตุจากอะไร
อาการปวดหัวตุ๊บ ๆ มีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไปตามประเภท ซึ่งมีมากกว่า 100 ประเภท แต่ที่พบบ่อยได้ที่สุดนั้น อาจมีดังนี้
-
ปวดหัวตึงเครียด
เป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียดทางจิตใจ มีปัญหาบริเวณเส้นประสาทท้ายทอยซึ่งมีปัจจัยมาจากการนั่งหรือยืนผิดท่า ออกกำลังกายมากเกินไป ข้อต่อบริเวณท้ายทอยอักเสบ อาการปวดหัวประเภทนี้อาจเป็นนานประมาณ 30 นาที หรือ 2-3 วัน ที่สังเกตได้จากอาการปวดหัวตุ๊บๆ ด้านหลังศีรษะ และเริ่มแผ่ไปบริเวณด้านหน้าของศีรษะด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
-
ปวดหัวไมเกรน
ปวดหัวไมเกรนมักจะมีอาการปวดศีรษะตุ๊บๆ เป็นจังหวะด้านใดด้านหนึ่งหรืออาจเป็นทั้ง 2 ด้าน ที่อาจเกิดจากความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง เช่น สารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารเคมีที่บทบาทในการควบคุมการทำงานของสมองและระบบประสาท หากมีระดับเซโรโทนินต่ำหรือมากเกินไปอาจทำให้หลอดเลือดขยายและหดตัว ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงสมองน้อยลงหรือและอาจทำให้หลอดเลือดขยายจนกดทับบริเวณปลายประสาทที่นำไปสู่อาการไมเกรน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การอดนอน การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การใช้ยาคุมกำเนิด การใช้ยาขยายหลอดเลือด และความเครียด
-
ปวดหัวจากอาการไซนัส
เป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากการติดเชื้อบริเวณไซนัส ทำให้รู้สึกเจ็บปวดบริเวณโหนกแก้ม จมูก และขึ้นไปบริเวณหน้าผาก พร้อมกับมีไข้ น้ำมูก การับกลิ่นน้อยลงและใบหน้าบวม ซึ่งอาจมีอาการรุนแรงขึ้นเมื่อนอนราบ ก้มตัวไปด้านหน้าและศีรษะกระทบกระเทือน
-
ปวดหัวแบบคลัสเตอร์
เป็นอาการปวดหัวที่รุนแรงส่งผลให้เจ็บปวดมากที่สุด สามารถเกิดขึ้นได้อย่างกะทันหัน และอาจเป็นเวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน อาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์อาจมีสาเหตุที่ไม่แน่ชัด แต่อาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากการทำงานผิดปกติของสมองส่วนไฮโปทาลามัส ที่มีหน้าที่ควบคุมระดับฮอร์โมน อุณหภูมิร่างกาย ระดับความดันโลหิต โดยอาจมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เป็นตัวกระตุ้นส่งผลให้ปวดหัวร่วมด้วย เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้ยารักษาโรคบางชนิด
-
ปวดหัวจากการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
ปวดหัวจากการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การออกกำลังกาย การยกของหนัก การจ้องหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานาน ความเครียด ดื่มน้ำและพักผ่อนไม่เพียงพอ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อาจส่งผลให้มีอาการปวดหัวตุ๊บๆ ในระยะสั้นประมาณ 1-2 วัน และอาจหายได้เองหรือรับประทานยาแก้ปวด แต่หากมีอาการที่นานกว่านั้นควรเข้าพบคุณหมอเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว
อาการปวดหัวตุ๊บๆ ที่ควรเข้าพบคุณหมอ
อาการปวดหัวตุ๊บๆ ที่ควรเข้าพบคุณหมอ มีดังนี้
- มีอาการปวดหัวที่ทำให้ตื่นกลางดึก
- มีอาการปวดหัวทันทีเมื่อตื่นนอนตอนเช้า
- ปวดหัวกะทันหัน
- อาการปวดหัวที่แย่ลงและเป็นต่อเนื่องหลายวัน
- อาการปวดเมื่อมีอาการไอและอาเจียน
- อาการปวดหัวพร้อมกับมีปัญหาการเคลื่อนไหวของลูกตา และมองเห็นเป็นภาพซ้อน
- มีปัญหาในการสื่อสารและจดจำ
- ร่างกายอ่อนแรง
- มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
วิธีรักษาอาการปวดหัวตุ๊บๆ
วิธีรักษาอาการปวดหัวตุ๊บๆ มีดังนี้
วิธีรักษาอาการปวดหัวตุ๊บๆด้วยเทคนิคทางการแพทย์
- ยากลุ่มทริปแทน (Triptans) เช่น ซูมาทริปแทน (Sumatriptan) ริซาทริปแทน (Rizatriptan) อัลโมทริปแทน (Almotriptan) นาราทริปแทน (Naratriptan) ซอลมิทริปแทน (Zolmitriptan) โฟรวาทริปแทน (Frovatriptan) และอีลีทริปแทน (Eletriptan) ที่มีในรูปแบบเม็ด พ่นจมูกและฉีด เพื่อช่วยอาการปวดหัวตุ๊บๆ ปวดไมเกรน โดยต้องได้รับการอนุญาตจากคุณหมอและไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจวาย
- ยาอูโบรเกเพนท์ (Ubrogepant) เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไมเกรนเฉียบพลัน และปวดหัวตุ๊บๆ เพื่อบรรเทาอาการปวดรับประทานวันละ 1 ครั้ง หรือตามที่คุณหมอกำหนด เนื่องจากบางคนอาจมีอาการปวดหัวรุนแรงที่จำเป็นต้องรับประทานยานี้ 2 ครั้ง/วัน
- ยาลาสมิดิตัน (Lasmiditan) มีในรูปแบบเม็ด ช่วยลดอาการปวดศีรษะตุ๊บๆ ที่ควรรับประทานวันละ 1 ครั้ง และไม่ควรรับประทานมากกว่า 1 เม็ดภายใน 24 ชั่วโมง หรือตามที่คุณหมอแนะนำ ยานี้อาจส่งผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม ไม่มีสมาธิ หายใจลำบาก มองเห็นเป็นภาพหลอน ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรเมื่อรับประทานยานี้เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุหรือแจ้งอาการให้คุณหมอทราบหากรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อปรับเปลี่ยนยาใหม่ให้เหมาะสม
- ยาไดไฮโดรเออร์โกตามีน (Dihydroergotamine) เป็นยาในรูปแบบฉีดและแบบสูดพ่นในจมูกเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหัว
- ยาออกทรีโอไทด์ (Octreotid) เป็นยาในรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือกล้ามเนื้อบริเวณก้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวคลัสเตอร์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหัว
- ยากลุ่มโอปิออยด์ (Opioids) เนื่องจากเป็นยาที่อาจทำให้เกิดการเสพติดได้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อยารักษาอาการปวดหัวอื่น ๆ และควรใช้ตามที่คุณหมอแนะนำ เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหัวตุ๊บๆ
- ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้ เช่น โปรคลอเปอราซีน (Prochlorperazine) คลอร์โปรมาซีน (Chlorpromazine) เมโทโคลพราไมด์ (Metoclopramide) ใช้เพื่อช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียนจากอาการปวดหัวมักใช้ควบคู่กับยาแก้ปวด
- การใช้ไฟฟ้ากระตุ้นเส้นประสาท เป็นการผ่าตัดที่ฝังขั้วไฟฟ้าขนาดเล็กไว้ใต้ผิวหนังใกล้กับเส้นประสาทท้ายทอย เพื่อส่งคลื่นไฟฟ้าไปยังเส้นประสาทท้ายทอยที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหัว
- การฉีดยาบล็อกเส้นประสาท โดยคุณหมอจะฉีดเข้าไปเส้นประสาทบริเวณท้ายทอย เพื่อช่วยลดอาการตึงเครียดของเส้นประสาทและบรรเทาอาการปวดหัว
วิธีรักษาอาการปวดหัวตุ๊บๆด้วยตัวเอง
- รับประทานยาแก้ปวด เช่น อะเซตามินโนเฟน (Acetaminophen) นาพรอกเซน (Naproxen) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) แอสไพริน (Aspirin) ที่มีในรูปแบบเม็ด แคปซูล และสารละลาย ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดหัว รวมถึงปวดประจำเดือน ปวดกล้ามเนื้อ และอาจช่วยลดไข้ โดยควรรับประทานทุก 4-6 ชั่วโมง หรือตามที่คุณหมอแนะนำ และดื่มน้ำตามให้มาก ๆ สำหรับเด็กควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เด็กเป็นกลุ่มอาการเรย์ (Reye’s syndrome) กระทบต่อการทำงานของสมองและนำไปสู่การเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ควรรับประทานยาทั้งเม็ด ไม่ควรบดยา แบ่งยา เพราะอาจทำให้ลดประสิทธิภาพยา
- ดื่มน้ำให้มาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อช่วยบรรเทาความเครียด เพิ่มความผ่อนคลายที่ช่วยให้อาการปวดหัวดีขึ้น
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี เนื่องจากอหารเหล่านี้อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินอี แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ที่ช่วยควบคุมการทำงานของเซลล์ในร่างกายในเป็นไปตามปกติ เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพ ลดความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคหัวใจที่ทำให้มีอาการปวดหัวร่วมด้วย
- ไม่ควรใช้สายตาจ้องหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานาน เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แท็บเล็ต เพราะการจ้องเป็นเวลานานทำให้สายตารับแสงสีฟ้าเข้าไปทำลายเซลล์ในจอประสาทตา ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลงและมีอาการปวดหัวตุ๊บๆที่แย่ลง
นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ผู้ป่วยและไม่ใช้สิ่งของร่วมกันกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ช้อนส้อม จานชาม แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ เพราะอาการปวดหัวอาจเป็นสัญญาณเตือนของการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียที่สามารถแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นได้ อีกทั้งควรเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีและฉีดวัคซีนตามที่คุณหมอกำหนด เพื่อลดความเสี่ยงการเป็นไข้หวัดหรือโรคต่าง ๆ ส่งผลให้ปวดหัวตุ๊บๆ