backup og meta

จำปาดะ ประโยชน์และข้อควรระวังในการบริโภค

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย เนตรนภา ปะวะคัง


เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 25/01/2022

    จำปาดะ ประโยชน์และข้อควรระวังในการบริโภค 

    จำปาดะ เป็นผลไม้เมืองร้อนลักษณะคล้ายขนุน มีรสหวาน อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่อาจส่งผลดีต่อสุขภาพ ช่วยบำรุงสายตา ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ สุขภาพทางเดินอาหาร นอกจากนี้ สารสกัดจากเปลือกจำปาดะอาจมีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งและรักษาโรคมาลาเรียได้อีกด้วย

    คุณค่าทางโภชนาการของจำปาดะ

    จำปาดะปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 117 กิโลแคลอรี่ และประกอบด้วยสารอาหารต่าง ๆ เช่น

    • คาร์โบไฮเดรต 25.8 กรัม
    • โปรตีน 2.5 กรัม
    • ไขมัน 0.4 กรัม
    • ไฟเบอร์ 3.4 กรัม

    นอกจากนี้ จำปาดะยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 (ไนอาซิน) แคโรทีน เหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม

    ประโยชน์ของจำปาดะต่อสุขภาพ

    จำปาดะมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยมีงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนสรรพคุณในการป้องกันโรค รักษาโรค และส่งเสริมสุขภาพของจำปาดะ ดังนี้

    ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ

    จำปาดะอุดมไปด้วยโพแทสเซียมที่อาจช่วยลดความดันโลหิต และส่งผลให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลงได้

    งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารเดอะบีเอ็มจี (The BMJ) เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2556 ทำการศึกษาผลของการบริโภคโพแทสเซียมนต่อการเกิดปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด และการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,606 คน พบว่า การบริโภคโพแทสเซียมเพิ่มขึ้นช่วยลดความดันโลหิตในผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงได้โดยไม่ส่งผลเสียต่อการทำงานของไต ความเข้มข้นของไขมันในเลือด และความเข้มข้นของสารสื่อประสาทกลุ่มแคททีโคลามีน (Catecholamines hormones) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมระบบเผาผลาญและความเครียด นอกจากนี้ การรับประทานโพแทสเซียมเพิ่มขึ้นยังอาจช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะไตวาย ได้ด้วย

    อาจช่วยป้องกันภาวะตาแห้ง

    จำปาดะอุดมไปด้วยวิตามินเอที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดสีในดวงตาและผิวลูกตา นอกจากนี้ ยังอาจช่วยบำรุงสายตา ป้องกันอาการตาบอดกลางคืน ตาพร่ามัว ตาแห้ง รวมถึงภาวะตาบอดในเด็กได้ด้วย

    งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Clinical Ophthalmology เมื่อเดือนภุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ทำการวิจัยผลการรับประทานวิตามินเอเสริมในระยะสั้นต่อฟิล์มน้ำตาที่หล่อลื่นผิวตาในผู้ป่วยโรคตาแห้ง โดยศึกษากลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นผู้ป่วยโรคตาแห้งเพศชายจำนวน 30 คนที่ไม่สวมคอนแทคเลนส์ และไม่มีปัญหาสุขภาพตาอื่น ๆ ยกเว้นตาแห้ง และกลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มชายวัย 30 ที่สุขภาพตาแข็งแรงดี เมื่อให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอาหารเสริมวิตามินเอติดต่อกัน 3 วัน ผลวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเสริมวิตามินเอในระยะเวลาสั้น ๆ ช่วยให้ฟิล์มน้ำตาของผู้ป่วยโรคตาแห้งมีคุณภาพดีขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยเพิ่มปริมาณฟิล์มน้ำตา อย่างไรก็ตาม อาจต้องศึกษาวิจัยเรื่องนี้เพิ่มเติมในกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้นและอาจต้องให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอาหารเสริมวิตามินเอนานขึ้น เพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่ชัดเจนขึ้น

    ช่วยส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร

    จำปาดะผลสุกมีใยอาหารสูงซึ่งดีต่อระบบทางเดินอาหาร ระบบย่อยอาหาร และจุลินทรีย์ในลำไส้ อาจช่วยควบคุมระบบเผาผลาญ ปรับสมดุลการดูดซึมสารอาหาร ซึ่งอาจส่งผลให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วนและโรคเมตาบอลิกซินโดรมที่เกิดจากกระบวนการเผาพลาญพลังงานผิดปกติลดลงได้

    งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 ทำการวิจัยเกี่ยวกับใยอาหาร จุลินทรีย์ในลำไส้ และการควบคุมระบบเผาผลาญ โดยการทบทวนงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องจำนวน 232 ชิ้น พบว่า ใยอาหารมีส่วนช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบเผาผลาญพลังงานและแบคทีเรียในลำไส้

    อาจช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง

    สารสกัดจากเปลือกของต้นจำปาดะอาจมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต้านการอักเสบ ทั้งยังอาจยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้

    งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Natural Product Research เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 ทำการวิจัยเกี่ยวกับอาร์โทแมนดิน (Artomandin) สารสกัดแซนโทนชนิดใหม่จากพืชตระกูลขนุน พบว่า สารสกัดแซนโทนชนิดใหม่ที่ชื่อว่า อาร์โทแมนดิน รวมถึงอาร์โทอินโดนีเซียนิน ซี (Artoindonesianin C) อาร์โตนอล บี (Artonol B) อาร์โตชามิน เอ (Artochamin A) และเบต้า-ซิโทสเตอรอล (β-sitosterol) ที่สกัดได้จากเปลือกลำต้นของไม้ตระกูลขนุน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และอาจช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ในระดับอ่อน

    นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร BioMed Research International เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 ทำการวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์ของแซนโทนที่สกัดได้จากพืชตระกูลขนุน พบว่า ในพืชตระกูลขนุนมีสารสกัดแซนโทนชนิดใหม่ 3 ชนิด ได้แก่ pyranocycloartobiloxanthone A, dihydroartoindonesianin C และ pyranocycloartobiloxanthone B ที่มีฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดโพรมัยอีโลไซติก (Promyelocytic leukemia) มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอีลอยด์เรื้อรัง (Chronic myeloid leukemia) และมะเร็งเต้านม

    อาจช่วยรักษาโรคมาลาเรีย

    สารสกัดเอทานอล (Ethanol) จากเปลือกต้นจำปาดะอาจมีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อมาลาเรีย

    งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Review of the Armed Forces Medical Services เมื่อปี พ.ศ. 2555 ทำการวิจัยเกี่ยวกับความปลอดภัยและความเป็นพิษของแคปซูลจำปาดะ เมื่อใช้เป็นยาทางเลือกในการป้องกันโรคมาลาเรีย ในเมืองนันงา บาเดา (Nanga Badau) จังหวัดกาลีมันตัน ประเทศอินโดนีเซีย โดยการแบ่งกลุ่มตัวอย่าง 100 คนออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้รับประทานแคปซูลที่มีสารสกัดเอทานอลจากเปลือกต้นจำปาดะ 120 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 แคปซูล กลุ่มที่ 2 ให้รับประทานยาด็อกซีไซคลิน 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 แคปซูล และกลุ่มที่ 3 ให้รับประทานยาหลอก วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 แคปซูล เป็นเวลา 1 เดือน ผลสรุปว่า การรับประทานแคปซูลสารสกัดเอทานอลจากเปลือกต้นจำปาดะในปริมาณและระยะเวลาดังกล่าวช่วยป้องกันโรคมาลาเรียได้โดยไม่ส่งผลเสียต่อการทำงานของตับและไต

    ข้อควรระวังในการบริโภคจำปาดะ

    แม้จะมีงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันได้ว่าจำปาดะอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่หากรับประทานจำปาดะมากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น

    • ผลจำปาดะอุดมไปด้วยกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid) หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร อาหารไม่ย่อย เสียดท้อง คลื่นไส้ ท้องร่วง ปวดท้อง หลอดอาหารอักเสบได้ โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Korean Journal of Physiology & Pharmacology เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ทำการวิจัยเกี่ยวกับการบรรเทาอาการกรดเกินในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดแอสคอร์บิกสูงด้วยแคลเซียมแอสคอร์เบต (Calcium ascorbate) ในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลอง พบว่า กรดแอสคอร์บิกมีความเป็นกรดสูงและสามารถกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร เช่น เปปซิน (Pepsin) สามารถทำให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น อาหารไม่ย่อย เสียดท้อง คลื่นไส้ ท้องร่วง ปวดท้อง หลอดอาหารอักเสบ นอกจากนี้ ยังมีการยืนยันจากเอกสารข้อมูลสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของ National Institutes of Health (NIH) ทำการศึกษาเกี่ยวกับวิตามินซี พบว่า ผลข้างเคียงของการรับประทานวิตามินซีมากเกินไปที่พบบ่อยที่สุด คือ อาการท้องร่วง คลื่นไส้ ปวดท้อง และความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นผลจากมีวิตามินซีส่วนเกินไม่ถูกดูดซึมในทางเดินอาหาร
    • จำปาดะผลสุกเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน มีแป้งและน้ำตาลสูง หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด และน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    เนตรนภา ปะวะคัง


    เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 25/01/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา