งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Advances in Nutrition เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 ได้รวบรวมและทบทวนงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับแอปเปิล สารประกอบในแอปเปิล และผลต่อสุขภาพของแอปเปิล พบว่า การรับประทานแอปเปิลอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้เนื่องจากแอปเปิลมีสารฟลาโวนอยด์หลายชนิด เช่น สารคาเทชิน (Catechins) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ อาจช่วยเสริมสร้างการทำงานของตับอ่อน และลดความเสียหายของเนื้อเยื่อที่เกิดจากความเครียดออกซิเดชัน (Oxidative stress) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ร่างกายมีปริมาณอนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระไม่สมดุลกัน จนทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายถูกอนุมูลอิสระทำลาย นอกจากนี้ แอปเปิลยังมีสารไดไฮโดรคาลโคน (Dihydrochalcones) ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ยับยั้งตัวขนส่งกลูโคสภายในลำไส้ จึงอาจลดการตอบสนองของกลูโคสหลังรับประทานอาหารได้ แอปเปิลจึงอาจช่วยในการปรับปรุงระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและเป็นผลไม้เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
เกรปฟรุต (Grapefruits)
เกรปฟรุตมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low glycemic index) คาร์โบไฮเดรตต่ำ ทั้งยังมีใยอาหารสูง ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานเกรปฟรุตได้โดยไม่กระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ เกรปฟรุตยังมีสารนารินจิน (Naringin) ซึ่งเป็นสารฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ต้านอักเสบและต้านอนุมูลอิสระด้วย
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Applied Life Sciences International เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2558 ทำการศึกษาในหนูเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านเบาหวานและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของน้ำเกรปฟรุตและผลไม้อื่น ๆ พบว่า น้ำเกรปฟรุต น้ำมะม่วง และน้ำสตรอว์เบอร์รี่ มีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ และอาจช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์และระดับน้ำตาลในเลือดได้ นอกจากนี้ ผลไม้ตระกูลซิตรัสอย่างเกรปฟรุตยังมีเพคติน (Pectin) ซึ่งมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ทั้งยังอุดมไปด้วยใยอาหาร จึงอาจสรุปได้ว่า เกรปฟรุตอาจช่วยรักษาระดับคอเลสตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการทดลองในสัตว์ จึงควรศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในมนุษย์เพื่อยืนยันประสิทธิภาพในการควบคุมโรคเบาหวานของเกรปฟรุต
เบอร์รี่
เบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยและมีใยอาหารสูง จึงเหมาะเป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยข้อมูลจากกระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture หรือ USDA) ระบุว่า เบอร์รี่ปริมาณ 1 ถ้วย (150 กรัม) ให้พลังงาน 40 กิโลแคลอรี่ มีใยอาหารหรือไฟเบอร์ 3.15 กรัม มีแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม รวมถึงมีวิตามินบีและวิตามินซี ที่เป็นประโยชน์ และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยเบาหวาน
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Antioxidants เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ศึกษาเรื่อง ผลกระทบของเบอร์รี่ต่อภาวะดื้ออินซูลินและความทนทานต่อน้ำตาลกลูโคส พบว่า เบอร์รี่มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อการจัดการกับระดับน้ำตาลในเลือดโดยการช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ทั้งยังช่วยควบคุมการกำจัดกลูโคสออกจากเลือดด้วย
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย