สับปะรด เป็นผลไม้ยอดนิยมของไทย ผลภายนอกมักมีสีเหลือง หรือเหลืองปนเขียว เปลือกแข็ง มีตาสับปะรดโดยรอบ เมื่อปอกเปลือกจะพบเนื้อสีเหลือง ฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน นิยมรับประทานสด หรือนำไปประกอบอาหาร เช่น แกงคั่วสับปะรด ข้าวผัดสับปะรด หรือแปรรูปเป็นแยมสับปะรด สับปะรดอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะโบรมีเลน (Bromelain) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่อาจช่วยลดการอักเสบ และอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้
[embed-health-tool-bmi]
คุณค่าทางโภชนาการของสับปะรด
สับปะรดปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 50 กิโลแคลอรี่ และอาจมีสารอาหาร ดังนี้
- คาร์โบไฮเดรต 13 กรัม
- ไฟเบอร์หรือใยอาหาร 1.4 กรัม
- น้ำตาล 9.9 กรัม
- โพแทสเซียม 109 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 48 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 13 มิลลิกรัม
- โซเดียม 1 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ สับปะรดยังเป็นแหล่งสำคัญของสารโบรมีเลน ซึ่งเป็นเอนไซม์ตามธรรมชาติที่อาจช่วยต้านการอักเสบ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ชะลอการแข็งตัวของเลือด อีกทั้งยังอาจช่วยขัดขวางการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง จึงอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ด้วย
ประโยชน์ของสับปะรดต่อสุขภาพ
สับปะรดมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยมีงานการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนสรรพคุณในการป้องกันโรค รักษาโรค และส่งเสริมสุขภาพของสับปะรด ดังนี้
ช่วยบรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อม
การรับประทานสับปะรดอาจช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อมได้ เนื่องจากในสับปะรดมีเอนไซม์โบรมีเลนที่มีคุณสมบัติช่วยต้านการอักเสบ และช่วยบรรเทาอาการปวด จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการใช้สารโบรมีเลนในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม พบว่า คุณสมบัติช่วยต้านการอักเสบ และช่วยบรรเทาอาการปวดของโบรมีเลนอาจช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อมได้จริง โดยเฉพาะการบรรเทาอาการปวดชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบและความปลอดภัยในการรับประทานโบรมีเลนเป็นอาหารเสริมเพื่อช่วยรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
การรับประทานสับปะรดอาจช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และช่วยลดโอกาสการติดเชื้อหรือการเกิดโรคได้ จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition and Metabolism เมื่อปี พ.ศ. 2557 ซึ่งทำการศึกษาประสิทธิภาพของการบริโภคสับปะรดกระป๋องต่อการปรับภูมิคุ้มกัน และสุขภาพร่างกายของเด็กนักเรียน โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม A ที่ไม่ได้รับประทานสับปะรด กลุ่ม B ที่รับประทานสับปะรด 140 กรัม และกลุ่ม C ที่รับประทานสับปะรด 280 กรัม เป็นเวลา 9 สัปดาห์ติดต่อกัน พบว่า กลุ่ม B และ C มีระยะเวลาและจำนวนครั้งของการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียลดลง โดยในกลุ่ม C มีอัตราการผลิตแกรนูโลไซต์ (Granulocytes) ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่ม B
อาจช่วยป้องกันมะเร็ง
การรับประทานสับปะรดอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้ เนื่องจากสารโบรมีเลนอาจมีคุณสมบัติช่วยต้านมะเร็ง จากงานทบทวนงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Letters เมื่อปี พ.ศ. 2553 ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับศักยภาพของโบรมีเลนในการต้านมะเร็ง พบว่า สารโบรมีเลนอาจมีสรรพคุณในการต้านมะเร็ง โดยการปรับกระแสประสาทสำคัญที่อาจนำไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ ยังอาจช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และลดการอักเสบ ซึ่งอาจมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการรับประทานสับปะรดเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง
ข้อควรระวังในการรับประทานสับปะรด
ข้อควรระวังในการรับประทานสับปะรด อาจมีดังนี้
- อาการแพ้ บางคนอาจเป็นโรคภูมิแพ้สับปะรด และเกิดอาการแพ้ อาการคัน บวม ผดผื่น ปวดท้อง หายใจลำบาก และอาจมีอาการช็อค หลังจากรับประทานสับปะรดเข้าไป ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้สับปะรด หรือเกิดอาการดังกล่าวหลังรับประทานสับปะรด ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสับปะรด
- ผู้ป่วยโรคไต ควรระมัดระวังในการรับประทานสับปะรด เนื่องจากสับปะรดมีปริมาณโพแทสเซียมค่อนข้างสูง การรับประทานสับปะรดมากเกินไปอาจทำให้ไตไม่สามารถกำจัดโพแทสเซียมส่วนเกินออกไปได้ ควรปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับปริมาณการรับประทานสับปะรดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคไต
- ผู้ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร ยังไม่มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงอันตรายจากการรับประทานสับปะรดในขณะตั้งครรภ์และให้นมบุตร แต่ควรรับประทานอย่างพอเหมาะ และเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน