backup og meta

สับปะรด คุณค่าทางโภชนาการ และข้อควรระวังในการบริโภค

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย เนตรนภา ปะวะคัง


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 24/03/2022

    สับปะรด คุณค่าทางโภชนาการ และข้อควรระวังในการบริโภค

    สับปะรด เป็นผลไม้ยอดนิยมของไทย ผลภายนอกมักมีสีเหลือง หรือเหลืองปนเขียว เปลือกแข็ง มีตาสับปะรดโดยรอบ เมื่อปอกเปลือกจะพบเนื้อสีเหลือง ฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน นิยมรับประทานสด หรือนำไปประกอบอาหาร เช่น แกงคั่วสับปะรด ข้าวผัดสับปะรด หรือแปรรูปเป็นแยมสับปะรด สับปะรดอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะโบรมีเลน (Bromelain) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่อาจช่วยลดการอักเสบ และอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้

    คุณค่าทางโภชนาการของสับปะรด

    สับปะรดปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 50 กิโลแคลอรี่ และอาจมีสารอาหาร ดังนี้

  • คาร์โบไฮเดรต 13 กรัม
  • ไฟเบอร์หรือใยอาหาร 1.4 กรัม
  • น้ำตาล 9.9 กรัม
  • โพแทสเซียม 109 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 48 มิลลิกรัม
  • แคลเซียม 13 มิลลิกรัม
  • โซเดียม 1 มิลลิกรัม
  • นอกจากนี้ สับปะรดยังเป็นแหล่งสำคัญของสารโบรมีเลน ซึ่งเป็นเอนไซม์ตามธรรมชาติที่อาจช่วยต้านการอักเสบ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ชะลอการแข็งตัวของเลือด อีกทั้งยังอาจช่วยขัดขวางการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง จึงอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ด้วย

    ประโยชน์ของสับปะรดต่อสุขภาพ

    สับปะรดมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยมีงานการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนสรรพคุณในการป้องกันโรค รักษาโรค และส่งเสริมสุขภาพของสับปะรด ดังนี้

    ช่วยบรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อม

    การรับประทานสับปะรดอาจช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อมได้ เนื่องจากในสับปะรดมีเอนไซม์โบรมีเลนที่มีคุณสมบัติช่วยต้านการอักเสบ และช่วยบรรเทาอาการปวด จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสาร Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการใช้สารโบรมีเลนในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม พบว่า คุณสมบัติช่วยต้านการอักเสบ และช่วยบรรเทาอาการปวดของโบรมีเลนอาจช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อมได้จริง โดยเฉพาะการบรรเทาอาการปวดชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบและความปลอดภัยในการรับประทานโบรมีเลนเป็นอาหารเสริมเพื่อช่วยรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม

    เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

    การรับประทานสับปะรดอาจช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และช่วยลดโอกาสการติดเชื้อหรือการเกิดโรคได้ จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition and Metabolism เมื่อปี พ.ศ. 2557 ซึ่งทำการศึกษาประสิทธิภาพของการบริโภคสับปะรดกระป๋องต่อการปรับภูมิคุ้มกัน และสุขภาพร่างกายของเด็กนักเรียน โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม A ที่ไม่ได้รับประทานสับปะรด กลุ่ม B ที่รับประทานสับปะรด 140 กรัม และกลุ่ม C ที่รับประทานสับปะรด 280 กรัม เป็นเวลา 9 สัปดาห์ติดต่อกัน พบว่า กลุ่ม B และ C มีระยะเวลาและจำนวนครั้งของการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียลดลง โดยในกลุ่ม C มีอัตราการผลิตแกรนูโลไซต์ (Granulocytes) ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่ม B

    อาจช่วยป้องกันมะเร็ง

    การรับประทานสับปะรดอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้ เนื่องจากสารโบรมีเลนอาจมีคุณสมบัติช่วยต้านมะเร็ง จากงานทบทวนงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Letters เมื่อปี พ.ศ. 2553 ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับศักยภาพของโบรมีเลนในการต้านมะเร็ง พบว่า สารโบรมีเลนอาจมีสรรพคุณในการต้านมะเร็ง โดยการปรับกระแสประสาทสำคัญที่อาจนำไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ ยังอาจช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และลดการอักเสบ ซึ่งอาจมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการรับประทานสับปะรดเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง

    ข้อควรระวังในการรับประทานสับปะรด

    ข้อควรระวังในการรับประทานสับปะรด อาจมีดังนี้

    • อาการแพ้ บางคนอาจเป็นโรคภูมิแพ้สับปะรด และเกิดอาการแพ้ อาการคัน บวม ผดผื่น ปวดท้อง หายใจลำบาก และอาจมีอาการช็อค หลังจากรับประทานสับปะรดเข้าไป ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้สับปะรด หรือเกิดอาการดังกล่าวหลังรับประทานสับปะรด ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสับปะรด
    • ผู้ป่วยโรคไต ควรระมัดระวังในการรับประทานสับปะรด เนื่องจากสับปะรดมีปริมาณโพแทสเซียมค่อนข้างสูง การรับประทานสับปะรดมากเกินไปอาจทำให้ไตไม่สามารถกำจัดโพแทสเซียมส่วนเกินออกไปได้ ควรปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับปริมาณการรับประทานสับปะรดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคไต
    • ผู้ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร ยังไม่มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงอันตรายจากการรับประทานสับปะรดในขณะตั้งครรภ์และให้นมบุตร แต่ควรรับประทานอย่างพอเหมาะ และเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    เนตรนภา ปะวะคัง


    เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 24/03/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา