backup og meta

แรดิช ประโยชน์ต่อสุขภาพ และข้อควรระวังในการบริโภค

แรดิช ประโยชน์ต่อสุขภาพ และข้อควรระวังในการบริโภค
แรดิช ประโยชน์ต่อสุขภาพ และข้อควรระวังในการบริโภค

แรดิช (Radish) หรือหัวไชเท้าฝรั่ง หรือหัวผักกาดฝรั่ง เป็นพืชในตระกูลกะหล่ำ เช่นเดียวกับกะหล่ำดอก กะหล่ำปลี คะน้า และบร็อกโคลี แรดิชมีสีแดง มีกลิ่นฉุนเป็นเอกลักษณ์ และมีรสเผ็ดร้อน ทั้งยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุ และวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ เช่น มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานแรดิชในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพ

[embed-health-tool-bmr]

คุณค่าทางโภชนาการของ แรดิช

ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture หรือ USDA) ระบุว่า แรดิช 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 16 กิโลแคลอรี่ มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 95.3 กรัม และอุดมไปด้วยสารอาหาร เช่น

  • คาร์โบไฮเดรต 3.4 กรัม (แบ่งเป็นไฟเบอร์หรือใยอาหาร 1.6 กรัม และคาร์โบไฮเดรตชนิดอื่น เช่น น้ำตาล แป้ง อีก 1.86 กรัม)
  • โปรตีน 0.68 กรัม
  • โพแทสเซียม 233 มิลลิกรัม
  • แคลเซียม 25 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 20 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 14.8 มิลลิกรัม
  • แมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม

นอกจากนี้ แรดิชยังมีสังกะสี ทองแดง เหล็ก วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) วิตามินบี 9 (โฟเลต) ทั้งยังมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ และมีโพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ การรับประทานแรดิชในปริมาณที่เหมาะสมจึงอาจส่งผลดีต่อสุขภาพ

ประโยชน์ต่อสุขภาพของ แรดิช

แรดิชอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนคุณสมบัติในการส่งเสริมสุขภาพของแรดิช ดังนี้

อาจมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง

แรดิชอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ เนื่องจากในรากของแรดิชมีสารกลุ่มไอโซไทโอไซยาเนต (Isothiocyanates) ที่มีส่วนช่วยในการหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Plant Foods for Human Nutrition เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 ศึกษาเกี่ยวกับฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนเซลล์มะเร็งและกระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็งในมนุษย์ของสารสกัดจากแรดิช พบว่า แรดิชมีสารเฮกเซนซึ่งเป็นสารที่มีไอโซไทโอไซยาเนต (Isothiocyanates) หลายชนิดที่ออกฤทธิ์ป้องกันมะเร็ง ทั้งยังช่วยกระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็งด้วยการปรับเปลี่ยนยีน ส่งผลให้เซลล์มะเร็งทำลายตัวเอง จึงอาจสรุปได้ว่า แรดิชอาจมีคุณสมบัติป้องกันการเกิดมะเร็งได้ อย่างไรก็ตาม ยังเป็นการศึกษาวิจัยในหลอดทดลอง ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์ต่อไป

อาจมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา

แรดิชมีโปรตีนต้านเชื้อรา RsAFP2 ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราและทำให้เซลล์เชื้อราบางชนิดตายได้ เช่น เชื้อแคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida albicans) ซึ่งเป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่ตามผิวหนัง เมื่อมีเชื้อราชนิดนี้จำนวนมากจะทำให้ผิวหนังติดเชื้อ โดยเฉพาะผิวหนังหรือเนื้อเยื่อบริเวณที่อับชื้นง่าย เช่น ขาหนีบ ทวารหนัก ช่องคลอด ทำให้เกิดการติดเชื้อราในช่องปาก การติดเชื้อในช่องคลอด การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น

งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Molecular Microbiology เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2555 ศึกษาเกี่ยวกับ โปรตีนต้านเชื้อรา RsAFP2 ในแรดิชที่กระตุ้นการตายของเซลล์แคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida albicans) พบว่า โปรตีน RsAFP2 ที่สกัดจากเมล็ดของแรดิชสามารถกระตุ้นการตายของเซลล์เชื้อราแคนดิดา อัลบิแคนส์ได้ด้วยการทำให้ผนังของเซลล์เชื้อราเกิดความเครียดจนส่งผลให้เซลล์เชื้อราเสื่อมสภาพ (Apoptosis) อย่างไรก็ตาม ยังเป็นการศึกษาวิจัยในหลอดทดลอง ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์ต่อไป

อาจมีฤทธิ์การต้านเบาหวาน

แรดิชมีสารฟลาโวนอยด์ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เช่น สารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) อย่างเพลาโกนิดิน (Pelargonidin) ซึ่งเป็นสารให้สีตามธรรมชาติที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของมนุษย์

งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 ศึกษาเกี่ยวกับแรดิชและโรคเบาหวาน พบว่า ส่วนต่าง ๆ ของแรดิชมีประโยชน์ในการต้านเบาหวาน รากแรดิชมีเพลาโกนิดินซึ่งช่วยลดภาวะภาวะเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) ที่เกิดจากปริมาณอนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายเสียสมดุล อาจป้องกันเบาหวานขึ้นจอประสาทตาได้ เมล็ดของแรดิชมีส่วนช่วยลดภาวะดื้ออินซูลินและเพิ่มการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ส่วนใบของแรดิชก็ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลในลำไส้ ทำให้น้ำตาลไม่เข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป

ข้อควรระวังในการบริโภค แรดิช

ข้อควรระวังในการบริโภคแรดิช มีดังนี้

  • การบริโภคแรดิช รวมถึงผักในตระกูลกะหล่ำอื่น ๆ เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดขาว คะน้า ในปริมาณมากส่งผลกระทบต่อการผลิตฮอร์โมนในต่อมไทรอยด์ อาจทำให้เกิดโรคคอหอยพอกได้
  • การบริโภคแรดิชเยอะเกินไปอาจทำให้ทางเดินอาหารระคายเคือง เกิดอาการท้องอืดและปวดท้องได้ จึงควรบริโภคแรดิชในปริมาณพอเหมาะ
  • ผู้ที่แพ้แรดิชควรหลีกเลี่ยงการบริโภคแรดิช เพราะอาจทำให้เกิดผื่นคัน หรือลมพิษได้

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

Radishes, raw. https://fdc.nal.usda.gov/fdc-app.html#/food-details/169276/nutrients. Accessed July 7, 2022

Radish: Health Benefits, Nutrition, and Uses. https://www.webmd.com/diet/health-benefits-radish. Accessed July 7, 2022

Hexane Extract of Raphanus sativus L. Roots Inhibits Cell Proliferation and Induces Apoptosis in Human Cancer Cells by Modulating Genes Related to Apoptotic Pathway. https://link.springer.com/article/10.1007/s11130-010-0178-0. Accessed July 7, 2022

The plant defensin RsAFP2 induces cell wall stress, septin mislocalization and accumulation of ceramides in Candida albicans. https://onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1111/j.1365-2958.2012.08017.x. Accessed July 7, 2022

Radish (Raphanus sativus) and Diabetes. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5622774/. Accessed July 7, 2022

เวอร์ชันปัจจุบัน

13/03/2025

เขียนโดย ศุภานิช สุริโย

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย นายแพทย์ภควัต ตั้งจาตุรนต์รัศมี

อัปเดตโดย: พลอย วงษ์วิไล


บทความที่เกี่ยวข้อง

ผักกาดขาว สารอาหารและข้อควรระวังในการบริโภคต่อสุขภาพ

กะหล่ำปลี ประโยชน์ และข้อควรระวังในการรับประทาน


ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

นายแพทย์ภควัต ตั้งจาตุรนต์รัศมี

โภชนาการเพื่อสุขภาพ · โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า


เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 4 สัปดาห์ก่อน

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา