เชื้อโควิดสายพันธุ์ XBB 1.16 เป็นเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้มีการเฝ้าระวัง เนื่องจากเป็นเชื้อที่ติดต่อได้ง่าย แพร่กระจายได้รวดเร็ว และหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้ดี แม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่า โควิดสายพันธุ์ XBB 1.16 เป็นสายพันธุ์ใหม่หรืออันตรายมากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ แต่ก็ถือเป็นสายพันธุ์ที่หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยมีการเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะกลายเป็นเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์หลักหรือไม่ โดยในขณะนี้มีผู้ติดเชื้อในประเทศไทยแล้ว 27 ราย และเสียชีวิต 1 ราย (เมษายน พ.ศ. 2566)
[embed-health-tool-bmi]
โควิดสายพันธุ์ XBB 1.16 คืออะไร
เชื้อโควิดสายพันธุ์ XBB 1.16 หรือที่เรียกว่าสายพันธุ์อาร์คทูรัส (Arcturus) เป็นเชื้อโควิด-19 โอมิครอนลูกผสมที่พบครั้งแรกในประเทศอินเดียเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 โดยเชื้อสามารถหลบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ดีขึ้น จึงทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ทั้งยังเจริญเติบโตและแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นได้อย่างรวดเร็วมากกว่าเดิม
โควิดสายพันธุ์ XBB 1.16 กลายพันธุ์มาจากโควิดสายพันธุ์ XBB.1.15 ที่มีลักษณะการแพร่เชื้อคล้ายคลึงกัน แต่ต่างกันตรงที่โควิดสายพันธุ์ XBB 1.16 มีการกลายพันธุ์เพิ่มขึ้นอีก 1 ตำแหน่งบนโปรตีนหนาม ทำให้ต่อต้านภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติและภูมิคุ้มกันจากวัคซีนในร่างกายมนุษย์ได้มากขึ้น ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโควิดและผู้ที่เคยเป็นโควิดมาก่อนสามารถติดเชื้อได้ซ้ำอีก แต่ความรุนแรงของโรคอาจไม่ได้เพิ่มขึ้น
อาการของ โควิดสายพันธุ์ xbb 1.16
การติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ XBB 1.16 จะมีอาการแสดงแตกต่างกันไป โดยอาจขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของแต่ละคน อาการที่พบอาจมีดังนี้
- มีไข้สูง
- ไอ
- ไม่ได้กลิ่น
- ลิ้นไม่รับรู้รสชาติ
- เกิดผื่นคัน
- ตาออกแดง ๆ คล้ายเป็นโรคตาแดง
- คัน ระคายเคืองตา มีขี้ตาเปียก
- ในผู้ป่วยเด็กอาจร้องไห้งอแงในตอนกลางคืน ลืมตาไม่ขึ้น
เชื้อโควิดสายพันธุ์ XBB 1.16 มีการแพร่กระจายเข้าสู่เยื่อบุตา หากมีอาการรุนแรงจะยิ่งมีผลกับดวงตา ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ โรคเยื่อบุอักเสบ ควรดูแลตัวเองให้ดีเป็นพิเศษเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการโควิดรุนแรงกว่าคนทั่วไป
แนวทางการป้องกันโควิดสายพันธุ์ XBB 1.16
แนวทางการป้องกันโควิดสายพันธุ์ XBB 1.16 อาจทำได้ดังนี้
- ฉีดวัคซีนโควิดเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันอย่างน้อย 1 เข็ม ทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือลดความรุนแรงของโรคเมื่อติดเชื้อ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่ม 608 ซึ่งได้แก่ ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรค ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และผู้หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจมีอาการรุนแรงหากติดเชื้อโควิด
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่ปิด พื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน หรือเมื่อโดยสารรถสาธารณะปรับอากาศ ไม่ควรสวมหน้ากากอนามัยชนิดใช้แล้วทิ้งติดต่อกันนานเกิน 1 วัน หรือฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ใส่หน้ากากอนามัยแล้วนำมาใช้ต่อ และหากไอหรือจามใส่หน้ากากอนามัยควรเปลี่ยนชิ้นใหม่ทันที
- ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่อย่างน้อย 20 วินาที หากไม่สะดวก ควรล้างมือด้วยสเปรย์หรือเจลแอลกอฮอล์แทน
- เมื่อมีอาการเจ็บป่วย เช่น เจ็บคอ มีไข้ ไอ ไม่ได้กลิ่น ควรหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บุคคลอื่น โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ และควรตรวจ ATK เพื่อยืนยันผลการติดเชื้อและป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น