backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

ปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส (Viral Pneumonia)

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 31/08/2021

ปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส (Viral Pneumonia)

ปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส หรือที่เรียกว่าปอดบวมจากเชื้อไวรัส เป็นโรคปอดติดเชื้อชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านการจาม และการไอ เมื่อสูดดมนำเชื้อที่ลอยฟุ้งตามอากาศเข้าไปในทางเดินหายใจ หรือนำมือไปสัมผัสกับสิ่งของรอบตัวจนมาสัมผัสกับใบหน้าโดยเฉพาะบริเวณปาก และจมูก

คำจำกัดความ

ปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส คืออะไร

ปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส คือ โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสหลายชนิดที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน แต่อาจจะมีความรุนแรง หรือเผยอาการให้เห็นชัดขึ้น เมื่อเชื้อไวรัสเดินทางลงสู่ปอด จนปอด และถุงลมเกิดการอักเสบ ติดเชื้อ เช่นเดียวกับโรคปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อ คือ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุ 65 ปี หรือผู้ที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่

อาการ

อาการของ ปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส

ระยะแรกอาการของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสมักมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปอาจส่งผลให้เผยอาการที่ต่างออกไปจากไข้หวัด ดังนี้

  • อุณหภูมิของร่างกายสูง ไข้ขึ้น
  • รู้สึกหนาวสั่น
  • ปวดศีรษะ
  • หายใจถี่
  • มีอาการเจ็บหน้าอกขณะหายใจ หรือไอ
  • ไอแห้ง และมีแนวโน้มไอแบบมีเสมหะในเวลาถัดมา
  • เจ็บคอ
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ความรู้สึกอยากอาหารลดลง เบื่ออาหาร

สาเหตุ

สาเหตุของ ปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส

เชื้อไวรัสที่สามารถนำไปสู่โรคปอดอักเสบ มีดังต่อไปนี้

  • ไวรัสสายพันธุ์เอ และไวรัสสายพันธุ์บี จากไข้หวัดใหญ่ พบได้บ่อยในช่วงวัยผู้ใหญ่
  • ไวรัสอาร์เอสวี (RSV) ที่พบได้มากในทารก และเด็ก
  • ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) เป็นไวรัสที่อาจทำให้เป็นโรคหลอดลมอักเสบ และไข้หวัด
  • ไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (varicella-zoster virus) ที่สามารถส่งผลให้เป็นโรคงูสวัดร่วมด้วย

ปัจจุบันยังมีเชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก และมีหลากหลายสายพันธุ์ที่สามารถสร้างความเสียหายให้ระบบทางเดินหายใจ จนเกิดการติดเชื้อนำไปสู่โรคปอดอักเสบได้ องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงประกาศตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2563 ให้การระบาดของไวรัสนี้เป็นการระบาดครั้งใหญ่ที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างทั่วโลก (Pandemic) และควรเฝ้าระวัง นับว่าเป็นเชื้อไวรัสที่ไม่ควรประมาท เพราะอาจส่งผลเสียอย่างหนักในระบบทางเดินหายใจ

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงของปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส

ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคปอดอักเสบจากไวรัส คือ

  • ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคมะเร็ง
  • พฤติกรรมการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ร่างกายขาดแร่ธาตุ และวิตามิน
  • สูดดมควันพิษ และมลพิษทางอากาศมากเกินไป
  • ผู้ที่กำลังรักษาตัวจากการผ่าตัด
  • ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ติดเชื้อเอชไอวี
  • อยู่ในสถานที่ที่แออัด มีผู้คนจำนวนมาก

การวินิจฉัยและการรักษา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

การวินิจฉัยปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส

การวินิจฉัยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส ด้วยวิธีทางการแพทย์ ได้แก่

  • สอบถามประวัติของโรคประจำตัว และอาการของผู้ป่วย
  • เอ็กซ์เรย์ทรวงอก
  • ตรวจเลือด และทำการนับเม็ดเลือดในห้องปฏิบัติการ
  • ตรวจโพรงจมูก หรือเก็บตัวอย่างของเนื้อเยื่อในโพรงจมูก และในช่องปากเพื่อนำไปตรวจหาไวรัส
  • วัดชีพจร และตรวจออกซิเจนในเลือด

การรักษาปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส

คุณหมออาจทำการรักษาด้วยยาต้านไวรัส เช่น โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) ยาซานามิเวียร์ (Zanamivir) เพอรามิเวียร์ (Peramivir) ยาไรบาวิริน (Ribavirin) เพื่อจำกัดการแพร่กระจายของไวรัส และกำหนดยาตามอาการที่ผู้ป่วยเป็น เช่น ยาบรรเทาอาการไอ ยาขับเสมหะ ในบางรายเท่านั้น เพราะการไอเป็นกระบวนการธรรมชาติของร่างกายที่ช่วยขจัดเชื้อออกจากปอด

หากปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสส่งผลให้เกิดอาการในระดับรุนแรง โดยเฉพาะกับช่วงวัยเด็ก และผู้สูงอายุ อาจต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เพื่อให้คุณหมอทำการรักษา และสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือดูแลตนเอง

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส

ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสอาจสามารถหายได้ด้วยตนเอง หรืออาจมีอาการที่ดีขึ้นประมาณ 1-3 สัปดาห์ เมื่อดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำปริมาณมากเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกในปอด ที่สำคัญควรงดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเว้นระยะห่างจากผู้คนรอบข้าง ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบตามกำหนด โดยเฉพาะวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 31/08/2021

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา