backup og meta

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A แตกต่างจาก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B อย่างไร

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย Duangkamon Junnet


เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 3 สัปดาห์ก่อน

    ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A แตกต่างจาก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B อย่างไร

    ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เป็นสายพันธุ์ที่พบบ่อยในโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจชนิดหนึ่ง ที่สามารถพบได้ทุกช่วงวัย แต่อาจพบมากและมีอาการรุนแรงในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี บุคคลที่มีประวัติเป็นโรคหอบหืด โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และสตรีตั้งครรภ์ ดังนั้น จึงควรศึกษาความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่ทั้ง 2 สายพันธุ์ รวมถึงอาการและวิธีการรักษาอย่างเหมาะสม

    ความแตกต่างของ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

    ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มีความแตกต่างกัน คือ โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เป็นสายพันธุ์ที่รุนแรงมากกว่า สามารถกลายพันธุ์และก่อให้เกิดการติดเชื้อในวงกว้าง และสามารถก่อให้เกิดการแพร่เชื้อได้ทั้งในคน และในสัตว์ เช่น หมู นก เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ ยังแบ่งออกเป็นชนิดย่อย โดยตรวจได้จากไกลโคโปรตีนรอบของเชื้อไวรัส (Surface glycoprotein) ซึ่งประกอบด้วย ฮีแมกกูตินิน (Hemagglutinin : H) ซึ่งมีทำหน้าที่ในการจับกับตัวรับ (Receptor) บนเซลล์ของร่างกาย ส่งผลให้เชื้อเข้าสู่เซลล์ได้โดยตรง และเอ็นไซม์นิวรามินิเดส (Neuraminidase : N) เป็นเอ็นไซม์ย่อยที่ทำให้ไวรัสให้จับกับเซลล์ และแพร่เชื้อต่อไปได้ ซึ่งในสัตว์จะมีเชื้อไวรัสฮีแมกกูตินิน หรือ H อยู่ 15 ชนิด และเอ็นไซม์นิวรามินิเดส หรือ N 9 ชนิด แต่สำหรับของคนจะมี H3 ชนิดคือ H1 H2 H3 และ N 2 ชนิด คือ N1 N2 นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ H5 และ H7 ที่มีความรุนแรงสูง อาจแพร่กระจายจากสัตว์สู่คนได้ ยกตัวอย่าง ไข้หวัดนก (Avian influenza: H5N1) ที่มีการะบาดบางพื้นที่ของประเทศไทย

    โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เกิดได้กับคนเท่านั้น และมีการเปลี่ยนแปลงของไวรัสได้ช้ากว่าไวรัสชนิด A โดยแบ่งออกเป็น 2 สายพันธ์ุ ได้แก่ Yamagata และ Victoria ซึ่งทั้งไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B ล้วนปรากฏอาการในรูปแบบที่คล้ายกันกันตั้งแต่ระดับต่ำจนถึงขั้นรุนแรง ตามแต่สภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล

    อาการทั่วไปของไข้หวัดใหญ่ทั้ง 2 สายพันธุ์ มีดังนี้

    • ปวดศีรษะ
    • เจ็บคอ
    • อาการไอ
    • รู้สึกหนาวสั่น
    • คัดจมูก น้ำมูกไหล
    • รู้สึกเหนื่อยล้า ปวดเมื่อยตามร่างกาย
    • มีไข้
    • เบื่ออาหาร
    • ท้องเสีย อาเจียน (พบบ่อยในเด็ก)

    อาการในระดับรุนแรง ที่ควรเข้าพบแพทย์อย่างทันท่วงที ได้แก่

    • เจ็บหน้าอก
    • หายใจถี่เร็ว
    • มีไข้ขึ้นสูง
    • วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
    • อาการชัก และหมดสติ

    ไข้หวัดใหญ่ทั้ง 2 สายพันธุ์ ชนิดใดรุนแรงกว่ากัน

    โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรง และแพร่กระจายได้เร็วกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B และเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่อาจพบได้บ่อยในช่วงวัยผู้ใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีงานวิจัยจากสถาบัน Infectious Diseases Society of America ที่รายงานว่าเด็กอายุ 10-16 ปี ที่เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B มีแนวโน้มที่จะเข้ารับการรักษาตัวมากกว่าเด็กที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใดก็อาจส่งผลให้เกิดความรุนแรงต่อสุขภาพของผู้ป่วยได้ เนื่องจากภาวะสุขภาพ และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน

    อย่างไรก็ตามหากไข้หวัดทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ไม่ว่ากับช่วงวัยใด ควรเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อจากคนสู่คนไปได้เรื่อย ๆ ทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายออกเป็นวงกว้างได้

    การรักษาไข้หวัดทั้งสองสายพันธุ์

    การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B แพทย์อาจกำหนดยาต้านไวรัสชนิดต่าง ๆ และยารักษาตามอาการเบื้องต้นที่ผู้ป่วยเป็น ได้แก่

    ที่สำคัญควรดูแลตัวเองด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้เยอะ ๆ และงดพบปะผู้คน หรือออกไปนอกบ้านในยามที่ป่วย หากมีเหตุจำเป็นควรใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสไปสู่บุคคลอื่น ๆ ภายนอก

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    Duangkamon Junnet


    เขียนโดย ทีม Hello คุณหมอ · แก้ไขล่าสุด 3 สัปดาห์ก่อน

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา