ไข้หวัดใหญ่ เป็นการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza) ในระบบทางเดินหายใจ เมื่อเป็น ไข้หวัดใหญ่ อาการ ที่มักพบ เช่น ไข้สูง น้ำมูกไหล ไอ จาม ปวดศีรษะ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ปอดอักเสบ ในบางรายอาจมีอาการคล้ายคลึงกับไข้หวัดธรรมดา แต่โดยปกติแล้วอาการของไข้หวัดใหญ่มักจะรุนแรงกว่า และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม การดูแลตนเองให้มีสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ และฉีดวัคซีน ไข้หวัดใหญ่ ประจำปีอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค หรือลดความรุนแรงของอาการได้
[embed-health-tool-heart-rate]
ไข้หวัดใหญ่ คืออะไร
ไข้หวัดใหญ่ (Flu หรือ Influenza) เป็นการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซาที่ระบบทางเดินหายใจ ตั้งแต่จมูก ลำคอ ไปจนถึงปอด เมื่อเป็นแล้วอาจมีทั้งอาการไม่รุนแรงมาก เช่น ปวดศีรษะ มีน้ำมูก หนาวสั่น ปวดเมื่อยตัว มีไข้สูง ไปจนถึงอาการที่รุนแรง เช่น หายใจลำบาก ปอดอักเสบ ไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่สู่ผู้อื่นได้ผ่านทางการไอหรือจาม หรือหากมือไปสัมผัสโดนสิ่งของต่าง ๆ ที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสแล้วไปสัมผัสกับบริเวณใบหน้า ดวงตา ปาก หรือจมูก ก็อาจทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้
ไข้หวัดใหญ่ อาการ เป็นอย่างไร
เมื่อเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เข้าสู่ร่างกาย จะมีระยะการฟักตัวประมาณ 1-3 วัน และอาจทำให้มีอาการดังต่อไปนี้
- ไข้สูง
- หนาวสั่น
- คัดจมูก น้ำมูกไหล
- เจ็บคอ คอแห้ง
- ไอ
- ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย
- ปวดศีรษะ
นอกจากนี้ บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียร่วมด้วย โดยเฉพาะในเด็ก
ควรพบแพทย์เมื่อใด
โดยปกติ ไข้หวัดใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง แต่หากสังเกตพบอาการรุนแรงดังต่อไปนี้ ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล
- หายใจไม่ออก หายใจลำบาก
- ปอดอักเสบ ซึ่งอาจสังเกตได้จากอาการเจ็บร้าวที่ไหล่หรือสีข้างเมื่อไอ ไข้สูง หนาวสั่น เป็นต้น
- เจ็บหน้าอก
- อาการชัก
- ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
หากเด็กเป็น ไข้หวัดใหญ่ อาการ ที่พบ อาจมีดังนี้
- ปากและนิ้วมือเป็นสีม่วงคล้ำ
- หายใจไม่ออก หายใจลำบาก
- ภาวะขาดน้ำ อาจสังเกตได้จากอาการกระหายน้ำ ปากแห้ง ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ ปวดศีรษะ เป็นต้น
- อาการชัก
- ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง
สาเหตุของ ไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza) ซึ่งมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ และอาจกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ ๆ ทุกปี อย่างไรก็ตาม ไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 สายพันธุ์หลัก ๆ ดังนี้
- อินฟลูเอนซา A เป็นสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้างทั่วโลก สามารถแบ่งออกเป็นสายพันธุ์ย่อยได้อีก คือ H1N1, H1N2, H3N2, H5N1 และ H9N2
- อินฟลูเอนซา B เป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดในระดับชุมชน ไม่มีการแบ่งสายพันธุ์ย่อย
ปัจจัยเสี่ยงของไข้หวัดใหญ่
ปัจจัยเสี่ยงของไข้หวัดใหญ่ อาจมีดังนี้
- ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ติดเชื้อ HIV อาจเสี่ยงติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ง่าย และอาจมีอาการนานกว่าปกติ
- อายุ ไข้หวัดใหญ่มักพบได้บ่อยในเด็กที่อายุตั้งแต่ 6 เดือน-5 ปี และผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
- สภาพแวดล้อม ผู้ที่ต้องดูแลคนป่วย ผู้ที่ต้องพบปะคนจำนวนมาก อาจเสี่ยงรับเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ง่าย
- โรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน อาจเพิ่มความความเสี่ยงให้เป็นโรคไข้หวัดใหญ่
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ ผู้หญิงตั้งครรภ์อาจเสี่ยงเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์
การวินิจฉัยและการรักษาไข้หวัดใหญ่
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่
แพทย์จะซักประวัติและตรวจดูอาการเบื้องต้น จากนั้นอาจตรวจเพิ่มเติม ดังนี้
- การตรวจ PCR (Polymerase Chain Reaction) ด้วยการป้ายคอหรือจมูก เพื่อเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งไปตรวจหาเชื้อไวรัส โดยสามารถตรวจไข้หวัดใหญ่และโควิด-19ไปพร้อม ๆ กันได้
- การตรวจวินิจฉัยโรคไข้หวัดใหญ่อย่างรวดเร็ว (Rapid Influenza Diagnostic Tests หรือ RIDTs) เป็นการทดสอบหาแอนติเจน (Antigens) ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สามารถทราบผลได้ภายในเวลาประมาณ 15 นาที แต่ไม่สามารถแยกแยะสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้
การรักษาไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่อาจหายไปได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่หากมีอาการรุนแรง หรือเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัส เช่น โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) ซานามิเวียร์ (Zanamivir) เพื่อช่วยฆ่าเชื้อไวรัส ช่วยให้หายไวขึ้น และช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ทั้งนี้ การใช้ยาต้านไวรัสอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ควรรับประทานยาพร้อมกับอาหาร และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่
การดูแลตัวเองเพื่อช่วยบรรเทาอาการของไข้หวัดใหญ่ อาจทำได้ดังนี้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำ และช่วยขับปัสสาวะ
- ใช้ยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอล เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะและลดไข้
- หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านหรือพบปะผู้คน เพื่อลดการแพร่กระจายโรค
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่
วิธีการดูแลตัวเองด้วยวิธีดังต่อไปนี้ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ได้
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้านและพบปะผู้คน
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือทำความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมากับมือ และช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค
- ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงในการเกิดไข้หวัดใหญ่
- ไม่ควรนำมือมาสัมผัสใบหน้า จมูก และปาก เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย
- ปิดปากทุกครั้งที่ไอและจาม
- ทำความสะอาดบริเวณบ้าน โดยเฉพาะพื้นผิวต่าง ๆ ที่ต้องสัมผัสเป็นประจำ เช่น โต๊ะ ประตู เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการป่วย และหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อช่วยเสริมสร้างร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง