ไวรัส HPV เป็นไวรัสที่ติดต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ และอาจทำให้เกิดหูดและโรคมะเร็งปากมดลูกได้ อย่างไรก็ตาม การฉีด วัคซีน HPV อาจช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งถือเป็นโรคมะเร็งที่มีอุบัติการณ์สูงติดอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย
HPV คืออะไร
ไวรัสเอชพีวี (HPV) หรือไวรัสฮิวแมนแพพพิลโลมา (Human Papillomavirus) เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายผ่านการสัมผัส และการเสียดสีบริเวณที่มีเพศสัมพันธ์ทั้งทางอวัยวะเพศและช่องปาก รวมถึงการใช้อุปกรณ์ ไวรัสชนิดนี้มีหลากหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคหลัก ๆ มีทั้งหมด 14 สายพันธุ์ โดยการติดเชื้อไวรัส HPV สามารถก่อโรคได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ดังนี้
- ในเพศหญิง ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด และมะเร็งทวารหนัก โดยจากสถิติปีพ.ศ. 2563 มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบในในสตรีไทยเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม โดยพบผู้ป่วยใหม่ปีละกว่า 9,000 ราย และเสียชีวิตปีละ 4,700 ราย หรือในทุกๆ 2 ชั่วโมงต้องมีคนจากโลกนี้ไป และถือเป็นโรคมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของผู้หญิง
- ในเพศชาย ได้แก่ มะเร็งช่องปากและลำคอ และมะเร็งทวารหนัก โดยมะเร็งช่องปากและลำคอเป็นอีกหนึ่งมะเร็งที่สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการติดเชื้อ HPV ซึ่งพบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นในทุก ๆ ปี จากการมีพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก และเป็นโรคมะเร็งที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การใช้ชีวิตประจำวัน และต่อสภาพจิตใจอย่างมาก
นอกจากนี้ การติดเชื้อ HPV ยังเป็นสาเหตุหลักของโรคหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำให้จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาซ้ำบ่อย ๆ ด้วยการให้ยา จี้เย็นหรือจี้ไฟฟ้า และผ่าตัดบริเวณตำแหน่งอวัยวะเพศที่เกิดหูดหงอนไก่ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและสภาพจิตใจของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก จนทำให้สูญเสียความมั่นใจ และกระทบความสัมพันธ์ทางเพศ หรืออาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นได้
ทำไม วัคซีน HPV ถึงสำคัญ
คนส่วนใหญ่สามารถติดเชื้อ HPV ได้หลายครั้งในช่วงชีวิต โดยการติดเชื้อ HPV แต่ละครั้ง อาจเป็นเชื้อสายพันธุ์เดิมหรือสายพันธุ์ใหม่ก็ได้ ถึงแม้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะมีการกำจัดเชื้อ HPV ออกไปได้ โดยพบว่า 80-90% สามารถกำจัดเชื้อออกไปได้เอง แต่ยังมีบางส่วนที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดไปได้หมด เนื่องจากเชื้อ HPV จะซ่อนตัวอยู่กับเราได้นานหลายปี และจะพัฒนาเป็นรอยโรคก่อนมะเร็ง และมะเร็งในที่สุด ดังนั้น การติดเชื้อ HPV จึงเป็นภัยเงียบที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งที่เป็นอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้ ผู้ที่ติดเชื้อ HPV ทั้งเพศหญิงและเพศชายส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการใด ๆ จนอาจแพร่เชื้อให้แก่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
โดยวัคซีน HPV มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันคนที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน แต่ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์และได้รับเชื้อ HPV มาแล้ว ยังได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีน เนื่องจากการฉีดวัคซีน HPV จะช่วยป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์อื่น ๆ ที่ยังไม่เคยติดเชื้อที่มีอยู่ในวัคซีนได้ หรือแม้กระทั่งป้องกันการติดเชื้อ HPV ซ้ำในสายพันธุ์เดิมอีกด้วย หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ทั้งในคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้วและยังไม่มีเพศสัมพันธ์ยังได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนอยู่
ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV และโรคมะเร็งต่างๆเหล่านี้ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจึงควรเข้ารับการฉีดวัคซีน HPV นอกจากนี้ในผู้หญิงยังแนะนำให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อ HPV เป็นประจำอีกด้วย
โดยวัคซีนมะเร็งปากมดลูกมี 3 ชนิด ได้แก่7
- ชนิด 2 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ 16 และ 18): สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 70%
- ชนิด 4 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18): สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 70% และป้องกันโรคมะเร็งทวารหนัก และโรคหูดหงอนไก่ในเด็กผู้ชายได้ด้วย
- วัคซีนชนิด 9 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58): สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 94% และป้องกันโรคมะเร็งช่องปากและลำคอ มะเร็งทวารหนัก และโรคหูดหงอนไก่ในเด็กผู้ชายได้ด้วย
วัคซีน HPV ฉีดตอนไหน? อายุเท่าไร?
วัคซีน HPV หรือวัคซีนมะเร็งปากมดลูกสามารถเริ่มฉีดให้ทุกคนทั้งเพศหญิง และเพศชาย ได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีเป็นต้นไป ดังนี้
- อายุ 9-15 ปี ฉีด 2 เข็ม ที่ 0, 6-12 เดือน จากการฉีดเข็มแรก
- อายุมากกว่า 15 ปี ฉีด 3 เข็ม โดยฉีดแต่ละเข็มในเดือนที่ 0, 2 และ 6 จากการฉีดเข็มแรก
โดยความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อจะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการฉีดวัคซีน แต่ประโยชน์อาจจะลดลงบ้างในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว สำหรับเด็กผู้ชาย และผู้ชายก็ได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนนี้ในการป้องกันมะเร็งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ มะเร็งช่องปากและลำคอ และมะเร็งทวารหนักด้วย
ซึ่งอาการข้างเคียง สามารถพบอาการปวด บวม แดง คัน บริเวณที่ฉีดวัคซีนและอาจมีไข้ได้
ไขข้อข้องใจกับคำถามที่พบบ่อย
1. หากเคยได้รับการฉีดวัคซีน HPV ชนิด 2 หรือ 4 สายพันธุ์ ครบ 3 เข็มแล้ว ต้องการฉีดชนิด 9 สายพันธุ์ได้หรือไม่?
สามารถฉีดได้ โดยประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกจะเพิ่มขึ้นจาก 70% เป็น 94% โดยการเริ่มฉีดควรเว้นระยะห่างจากเข็มที่ 3 ของวัคซีนชนิดก่อนหน้าอย่างน้อย 1 ปี แล้วจึงเริ่มฉีดวัคซีนชนิด 9 สายพันธุ์โดยฉีดให้ครบ 3 เข็ม
2. ต้องฉีดกระตุ้นหรือไม่?
จากการติดตามผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน HPV เป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี ไม่พบว่ามีรอยโรคผิดปกติที่ปากมดลูกเพิ่มขึ้นในผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเลย ดังนั้น ในปัจจุบัน จึงยังไม่มีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำ (Booster)
3. หญิงตั้งครรภ์ ฉีดวัคซีน HPV ได้หรือไม่?
วัคซีน HPV ถือว่ามีความปลอดภัยสูงสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่อาจไม่แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์เข้ารับการฉีดวัคซีน HPV เนื่องจากยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับความปลอดภัยของการรับวัคซีน HPV ในช่วงตั้งครรภ์อย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม หญิงตั้งครรภ์ควรปรึกษาคุณหมอก่อนตัดสินใจฉีดวัคซีนใด ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์
4. หากความเสี่ยงน้อยมาก เช่น มีแฟนคนเดียว save sex จำเป็นต้องฉีดวัคซีน HPV หรือไม่?
ยังมีความเสี่ยง เพราะเราไม่รู้ว่าคู่นอนของเราจะเคยได้รับเชื้อไวรัส HPV มาก่อนหรือไม่ หรือแม้กระทั่งการใช้ถุงยาง ไม่สามารถครอบคลุมบริเวญอวัยวะเพศได้ทั้งหมด ทำให้ยังมีโอกาสติดเชื้อได้ นอกจากนี้ การหันไปทำ Oral Sex เพราะคิดว่าปลอดภัยกว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางอวัยวะเพศ ให้เพียงความปลอดภัยจากการตั้งครรภ์ แต่ไม่ได้ทำให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อโรคจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ได้แก่ การติดเชื้อ HPV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ เช่น ซิฟิลิส หนองในแท้และหนองในเทียม เป็นต้น
TH-GSL-00271 05/2023