โรคเบาหวานเกิดจากร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน หรือตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ ส่งผลให้น้ำตาลจากอาหารสะสมในกระแสเลือดสูง และไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานไปใช้ในอวัยวะส่วนอื่น ๆ ได้ นำไปสู่ปัญหาสุขภาพและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ จอประสาทตาเสื่อม โรคหลอดเลือด ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวาน จึงควรเช็กระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้เครื่องตรวจเลือดปลายนิ้ว และจดบันทึกทุกครั้งเพื่อแจ้งให้คุณหมอทราบเมื่อเข้ารับการตรวจสุขภาพ เพื่อรับการรักษาและควบคุมโรคเบาหวานได้อย่างเหมาะสม
เหตุผลที่ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด อาจช่วยให้ผู้ป่วยและคุณหมอร่วมกันบรรเทาอาการเบาหวาน และควบคุมอาการเบาหวานเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะค่าระดับน้ำตาลในเลือดสามารถบ่งบอกได้ว่า พฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ปฏิบัติอยู่ เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การใช้ยารักษา แผนการรักษาในปัจจุบันได้ผลมากน้อยเพียงใด เพราะหากยังมีอาการเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ระดับน้ำตาลในเลือดสูง คุณหมออาจปรับรูปแบบการรักษาใหม่ เพื่อให้ร่างกายตอบสนองต่อการรักษาเบาหวานมากยิ่งขึ้น
ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อไหร่
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเองของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันออกไปตามชนิดของโรคเบาหวานที่เป็น ดังนี้
-
โรคเบาหวานชนิดที่ 1
คุณหมออาจแนะนำให้ตรวจน้ำตาลในเลือด 4-10 ครั้ง/วัน ในช่วงเวลาหรือตามสถานการณ์ ดังต่อไปนี้
-
- ก่อนรับประทานอาหาร ของว่าง
- ก่อนและหลังออกกำลังกาย
- ก่อนนอน
- ช่วงเวลากลางคืนเป็นบางครั้ง
- เริ่มใช้ยาใหม่
- เจ็บป่วยบ่อย
- เปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน
-
โรคเบาหวานชนิดที่ 2
คุณหมออาจแนะนำให้ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดวันละหลายครั้ง ในกรณีที่มีการใช้อินซูลินรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ร่วมด้วย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของอินซูลินที่ใช้ โดยปกติอาจให้ตรวจก่อนรับประทานอาหารและก่อนนอน
กรณีที่ใช้อินซูลินที่ออกฤทธิ์ปานกลางหรือออกฤทธิ์ยาว ควรตรวจช่วงเวลาก่อนรับประทานอาหารเช้าและเย็นเท่านั้น สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ใช้อินซูลินในการรักษา เพียงแค่ควบคุมอาหารและออกกำลังกาย อาจไม่จำเป็นต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุกวัน
การเตรียมตัวก่อนตรวจเลือด
การเตรียมตัวก่อนตรวจเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน มีดังนี้
- เช็กตัวเครื่องแสดงผลว่าพร้อมใช้งานหรือไม่
- หลังจากแกะแผ่นทดสอบ ควรปิดบรรจุภัณฑ์แผ่นทดสอบทันที เพื่อป้องกันแผ่นทดสอบที่เหลือสัมผัสกับความชื้น
- ล้างมือด้วยน้ำอุ่นและสบู่ให้สะอาด เช็ดมือด้วยทิชชู่หรือผ้าสะอาดให้แห้งสนิท
- นวดมือเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปสู่ปลายนิ้ว
- ไม่ควรใช้แอลกอฮอล์ก่อนเจาะ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
วิธีใช้ ที่ตรวจเลือด สำหรับผู้ป่วย เบาหวาน
อุปกรณ์ตรวจเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวานมีลักษณะตัวเครื่องที่มีหน้าจอบอกค่าระดับน้ำตาล เข็มเจาะเลือดขนาดเล็กแบบใช้แล้วทิ้ง และแผ่นทดสอบ สำหรับวิธีใช้ที่ตรวจเลือด มีดังนี้
- ใช้เข็มแทงบริเวณปลายนิ้ว และบีบบริเวณโคนนิ้วเพื่อให้เลือดหยดลงบนแผ่นทดสอบ
- ทำความสะอาดนิ้วมือที่เจาะเลือดด้วยแอลกอฮอล์และปิดแผลเพื่อหยุดเลือด
- ใส่แผ่นแบบทดสอบเข้าในเครื่อง และรออ่านค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่ขึ้นบนจอไม่เกิน 15 วินาที พร้อมจดบันทึกว่าได้ค่าน้ำตาลในเลือดเท่าใด ตรวจในช่วงเวลาไหน เช่น หลังจากรับประทานอาหาร ก่อนรับประทานอาหาร หลังการออกกำลังกาย ก่อนรับประทานยาหรือหลังจากรับประทานยา
- ทิ้งแผ่นทดสอบและเข็มทดสอบ ทำความสะอาดอุปกรณ์ และเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท ห่างไกลจากความชื้น และสภาพอากาศร้อนหรือเย็นจัด
การอ่านค่าระดับน้ำตาลในเลือด
การอ่านค่าระดับน้ำตาลในเลือดจากที่ตรวจเลือดสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานขึ้นอยู่กับรูปแบบการเลือกตรวจ โดยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้
- การตรวจเลือดแบบสุ่ม เป็นการวัดระดับน้ำตาลแบบไม่จำเป็นต้องงดอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งสามารถตรวจในช่วงเวลาใดก็ได้
ผลลัพธ์ค่าระดับน้ำตาลในเลือด หากมีระดับสูงเกินกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร อาจสุ่มสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
- การตรวจเลือดแบบอดอาหาร ก่อนการตรวจเลือดควรงดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเจือจางของเลือด และสามารถวัดความเข้มข้นของระดับน้ำตาลในเลือดได้
ผลลัพธ์ค่าระดับน้ำตาลในเลือด
- ระดับปกติ จะมีค่าน้ำตาลในเลือด 99 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือต่ำกว่า
- ภาวะก่อนเบาหวาน จะมีค่าน้ำตาลในเลือด 100-125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- โรคเบาหวาน จะมีค่าน้ำตาลในเลือด 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือสูงกว่า
- การตรวจเบาหวานจากการให้รับประทานกลูโคส คือ การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อนและหลังดื่มสารละลายกลูโคส โดยก่อนตรวจอาจจำเป็นต้องอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และตรวจเลือดครั้งที่ 1 หลังจากนั้นให้ดื่มสารละลายกลูโคสประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนตรวจเลือดครั้งที่ 2
ผลลัพธ์ค่าระดับน้ำตาลในเลือด
- ระดับปกติ จะมีค่าน้ำตาลในเลือด 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือต่ำกว่า
- ภาวะก่อนเบาหวาน จะมีค่าน้ำตาลในเลือด 140-199 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- โรคเบาหวาน จะมีค่าน้ำตาลในเลือด 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือสูงกว่า
[embed-health-tool-bmi]