backup og meta

เจาะน้ำตาลปลายนิ้ว ไม่อดอาหาร ใช้ในกรณีไหน ต้องเตรียมตัวยังไง

เจาะน้ำตาลปลายนิ้ว ไม่อดอาหาร ใช้ในกรณีไหน ต้องเตรียมตัวยังไง

การ เจาะน้ำตาลปลายนิ้ว ไม่อดอาหาร เป็นวิธีตรวจระดับน้ำตาลในเลือดรูปแบบหนึ่ง โดยจะมีการวัดผล 2 ประเภท คือ การตรวจฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hemoglobin A1C หรือ HbA1C) หรือการตรวจระดับน้ำตาลสะสมและการตรวจระดับน้ำตาลแบบสุ่ม ซึ่งสามารถใช้เพื่อคัดกรองและวินิจฉัยโรคเบาหวาน รวมทั้งใช้สำหรับประเมินและติดตามการควบคุมโรคเบาหวานของผู้ป่วยได้ การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดรูปแบบนี้มีข้อดี คือ ผู้ที่จะเข้ารับการตรวจไม่จำเป็นต้องอดอาหารมาล่วงหน้า

[embed-health-tool-bmi]

การเจาะน้ำตาลปลายนิ้ว ไม่อดอาหาร ใช้ในกรณีใดบ้าง

การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการ เจาะน้ำตาลปลายนิ้ว ไม่อดอาหาร อาจมีประโยชน์ดังต่อนี้

  • ประเมินความเสี่ยงโรคเบาหวาน คุณหมออาจสั่งตรวจน้ำตาลในเลือดในผู้ที่มีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เช่น ปวดศีรษะ สายตาพร่ามัว อ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย หิวบ่อย กระหายน้ำบ่อย รวมถึงใช้ตรวจในผู้ที่เป็นเบาหวานอยู่เดิม เพื่อบอกถึงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • มีการใช้ยาที่อาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ยากดภูมิบางชนิด จึงจำเป็นต้องตรวจเลือดเป็นระยะเพื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่
  • ตรวจสุขภาพเบื้องต้น เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี หรือ การตรวจสุขภาพก่อนเข้ารับการทำงาน

เจาะน้ำตาลปลายนิ้ว ไม่อดอาหาร มีแบบไหนบ้าง

การตรวจระดับน้ำตาล โดยการเจาะน้ำตาลปลายนิ้วแบบไม่ต้องอดอาหาร (Non fasting blood tests) อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้

1. การตรวจระดับน้ำตาลสะสม HbA1c

การตรวจฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี หรือการตรวจระดับน้ำตาลสะสม (Hemoglobin A1C หรือ HbA1c) เป็นการตรวจวัดระดับน้ำตาลที่จับอยู่กับโปรตีนชื่อฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดง (Glycated hemoglobin) ซึ่งจะบ่งบอกถึงการควบคุมระดับน้ำตาลโดยเฉลี่ยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา 

การตรวจฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี สามารถทำได้ด้วยการเจาะเลือดที่โรงพยาบาล ซึ่งจะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้มากที่สุด (ชุดตรวจ HbA1c จากการเจาะเลือดปลายนิ้วด้วยตัวเองเช่นเดียวกับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก็มีให้เลือกใช้งาน แต่ค่าที่ได้อาจคลาดเคลื่อนและไม่แม่นยำเท่ากับการตรวจที่โรงพยาบาล) การตรวจระดับฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี จะช่วยประเมินการควบคุมโรคเบาหวานของผู้ป่วยในระยะยาวได้ จึงเป็นประโยชน์ในการวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับภาวะสุขภาพของผู้ป่วยได้มากที่สุด และช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานในระยะยาว เช่น โรคเบาหวานขึ้นตา โรคไต โรคหัวใจ อีกทั้งการตรวจฮีโมโกลบิน เอ วัน ซียังสามารถใช้ในการคัดกรองโรคเบาหวานได้อีกด้วย

ค่าน้ำตาลสะสม หรือค่าฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี สามารถแปลผลได้ดังนี้

  • ต่ำกว่า 5.7% หมายถึง ปกติ
  • 5.7-6.4% หมายถึง ระดับน้ำตาลสะสมเกินเกณฑ์ หรือมีภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes)
  • 6.5% ขึ้นไป หมายถึง เข้าข่ายเป็นโรคเบาหวาน

2. การตรวจระดับน้ำตาล ไม่อดอาหาร แบบ Random blood glucose test

การตรวจน้ำตาลในเลือดแบบสุ่ม (Random blood glucose test) สามารถตรวจได้ทั้งการตรวจปลายนิ้วและการเจาะเส้นเลือดที่แขนโดยไม่ต้องอดอาหารล่วงหน้า หากมีระดับน้ำตาลสูงกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึง เข้าข่ายเป็นโรคเบาหวาน และคุณหมออาจนัดตรวจเพิ่มเติมอีกครั้ง เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือดแบบอดอาหาร ซึ่งจะต้องงดอาหารและเครื่องดื่มที่ให้พลังงานมาเป็นเวลาอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการตรวจ เพื่อยืนยันอีกครั้งว่า เป็นโรคเบาหวานหรือไม่

นอกจากนี้ หากคุณหมอสัยว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เช่น วินิจฉัยโรคเบาหวานเมื่ออายุน้อย เคยมีภาวะเลือดเป็นกรด คุณหมออาจตรวจเลือดเพิ่มเติมเพื่อตรวจหาออโตแอนติบอดี (Autoantibodies) หรือภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ แต่กลับไปทำอันตรายเซลล์ของตับอ่อนที่ทำหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนอินซูลิน

โดยทั่วไป อาหารหรือเครื่องดื่มที่บริโภคเข้าไปจะไม่กระทบต่อผลลัพธ์ของการตรวจระดับน้ำตาลแบบ เจาะน้ำตาลปลายนิ้ว ไม่อดอาหาร ทั้ง 2 กรณีข้างต้น ผู้ที่จะเข้ารับการตรวจจึงไม่จำเป็นต้องงดอาหารหรือเครื่องดื่มใด ๆ ก่อนเข้ารับการทดสอบ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะเข้ารับการตรวจควรรับประทานอาหารตามปกติก่อนการตรวจ ในปริมาณพอเหมาะ ไม่มากกว่าปกติจนเกินไป และควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในช่วงก่อนเข้ารับการตรวจด้วย

ระดับน้ำตาลในเลือดแบบอดอาหาร สูงแค่ไหนเสี่ยงเบาหวาน

เกณฑ์ระดับน้ำตาลในเลือดแบบอดอาหาร แปลผลได้ดังนี้

  • ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เกิน 99 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าอยู่ในระดับปกติ
  • ระดับน้ำตาลในเลือด 100-125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึงระดับน้ำตาลสูงเกินเกณฑ์  ถือว่ามีภาวะก่อนเบาหวาน
  • ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าเข้าข่ายเป็นโรคเบาหวาน

ระดับน้ำตาลในเลือดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานทั้งโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และโรคเบาหวานชนิดที่ 2

  • ควรมีระดับน้ำตาลในเลือดก่อนรับประทานอาหาร 90-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
  • ควรมีระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร (1-2 ชั่วโมง) ไม่เกิน 180 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

Diabetes Tests. https://www.cdc.gov/diabetes/basics/getting-tested.html#:~:text=Random%20Blood%20Sugar%20Test,higher%20indicates%20you%20have%20diabetes.&text=*Results%20for%20gestational%20diabetes%20can%20differ. Accessed December 15, 2022

Non-fasting blood test can help screen youth for prediabetes and diabetes. https://www.sciencedaily.com/releases/2020/08/200810141010.htm. Accessed December 15, 2022

Fasting and Non-Fasting Bloodwork for Diabetes. https://www.webmd.com/diabetes/fasting-bloodwork. Accessed December 15, 2022

Blood Glucose (Sugar) Test. https://my.clevelandclinic.org/health/diagnostics/12363-blood-glucose-test. Accessed December 15, 2022

getting tested for diabetes. https://www.diabetes.org.uk/diabetes-the-basics/test-for-diabetes. Accessed December 15, 2022

เวอร์ชันปัจจุบัน

05/04/2024

เขียนโดย ศุภานิช สุริโย

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงบุรัสกร ทวีบูรณ์

อัปเดตโดย: พลอย วงษ์วิไล


บทความที่เกี่ยวข้อง

ตรวจเบาหวานด้วยตัวเอง ที่บ้าน ทำได้อย่างไรบ้าง

ค่าน้ำตาลปกติ อยู่ที่เท่าไหร่ และแบบไหนที่อาจเป็นอันตราย


ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

แพทย์หญิงบุรัสกร ทวีบูรณ์

โรคเบาหวาน · SRK BMI Center


เขียนโดย ศุภานิช สุริโย · แก้ไขล่าสุด 05/04/2024

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา