เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus) เป็นภาวะที่ระดับกลูโคสหรือน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ ผู้ป่วยโรคนี้จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
คำจำกัดความ
เบาหวานชนิดที่ 1 คืออะไร
เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes Mellitus) เป็นภาวะที่ระดับกลูโคสหรือน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลิน ได้เพียงพอ ผู้ป่วยโรคนี้จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลินอย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วน หรืออายุ ไม่ถือว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และโรคเบาหวานชนิดนี้ มักถูกเรียกว่า “โรคเบาหวานในเด็กและวัยรุ่น’ (Juvenile-onset diabetes) เพราะมักเกิดในเด็กและวัยรุ่นมากที่สุด
อินซูลิน (Insulin) มีความสำคัญในการควบคุมปริมาณน้ำตาลกลูโคสในเลือด เมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ตามปกติ และมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้กับอวัยวะสำหรับต่าง ๆ ได้ เช่น หัวใจ ดวงตา ตับ ระบบประสาท เหงือก ฟัน ผู้ป่วยโรคนี้จึงควรเข้ารับการรักษาพยาบาลอย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อการควบคุมโรค และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนได้
พบได้บ่อยได้แค่ไหน
เบาหวานชนิดที่ 1 พบได้น้อยกว่าโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และมักจะเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาตับอ่อน หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 โรคนี้มักพบในเด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะเด็กอายุ 4-7 ปี และ 10-14 ปี
อาการ
อาการของเบาหวานชนิดที่ 1
สัญญาณและอาการของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 อาจเกิดขึ้นเฉียบพลัน โดยอาการที่พบได้ทั่วไป ได้แก่
- มองเห็นไม่ชัด
- ปัสสาวะบ่อย
- รู้สึกกระหายน้ำ และหิวมาก
- ติดเชื้อบ่อย
- รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา
- แผลหายช้า
- เป็นเหน็บชาที่เท้าบ่อย ๆ
- น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ทราบสาเหตุ
สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการอื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่าง ๆ โปรดปรึกษาแพทย์
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
หากสังเกตได้ถึงสัญญาณ หรืออาการตามรายละเอียดข้างต้น หรือมีข้อสงสัยใด ๆ โปรดปรึกษาแพทย์
ร่างกายของแต่ละคนแสดงอาการแตกต่างกัน จึงควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุด
สาเหตุ
สาเหตุของเบาหวานชนิดที่ 1
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 มีสาเหตุมาจากเบต้าเซลล์ (Beta cells) ของตับอ่อนถูกระบบภูมิคุ้มกันทำลาย ตับอ่อนจึงผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ เมื่อขาดอินซูลิน ร่างกายจึงไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ และกลายเป็นภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
โรคบางชนิด เช่น โรคซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic fibrosis) ที่ส่งผลกระทบต่อตับอ่อน การผ่าตัดนำตับอ่อนออก หรือการติดเชื้อที่ตับอ่อนขั้นรุนแรง ก็อาจส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ได้เช่นกัน แต่สาเหตุเหล่านี้พบได้ไม่บ่อยนัก
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของเบาหวานชนิดที่ 1
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 มีหลายประการ เช่น
- ประวัติในครอบครัว หากคนใกล้ชิดในครอบครัว (พ่อแม่พี่น้อง) ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ก็จะเพิ่มขึ้น
- กรรมพันธุ์ การมียีนบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ได้
- อายุ แม้โรคเบาหวานชนิดที่ 1 จะพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่ช่วงวัยที่พบโรคนี้ได้มากที่สุด ได้แก่ เด็กอายุ 4-7 ปี และเด็กอายุ 10-14 ปี
นอกจากปัจจัยเสี่ยงข้างต้นแล้ว ปัจจัยต่อไปนี้ ก็อาจทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ได้เช่นกัน แต่หลักฐานยืนยันยังไม่แน่ชัด และยังต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมต่อไปว่าเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จริงหรือไม่
- การสัมผัสกับไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Epstein-Barr virus) ไวรัสคอกแซกกี้ (Coxsackie virus) ไวรัสคางทูม (Mumps virus) ไซโตเมกาโลไวรัส (Cytomegalovirus)
- ภาวะวิตามินดีต่ำ
- การดื่มน้ำที่มีไนเตรต (Nitrates)
- เด็กบริโภคธัญพืชและกลูเตนเร็วเกินไป (อายุยังไม่ถึง 4 เดือน) หรือช้าเกินไป (อายุเกิน 7 เดือน)
- มารดาเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) ขณะตั้งครรภ์
- เด็กเป็นดีซ่านแต่กำเนิด
การวินิจฉัยโรคและการรักษาโรค
ข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยเบาหวานชนิดที่ 1
แพทย์จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 หากเข้าเกณฑ์ต่อไปนี้
- ระดับกลูโคสในพลาสมา (Fasting plasma glucose) มากกว่าหรือเท่ากับ 7.0 มิลลิโมล/ลิตร (126 มก./เดซิลิตร)
- มีอาการของโรคเบาหวานและผลจากการสุ่มวัดระดับของน้ำตาลในเลือด (โดยไม่อดอาหาร) มากกว่าหรือเท่ากับ 11.1 มิลลิโมล/ลิตร (200 มก./เดซิลิตร)
- ระดับกลูโคสในพลาสมา 2 ชั่วโมง ในขณะทำการทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล (Oral Glucose Tolerance Test หรือ OGTT) มากกว่าหรือเท่ากับ 11.1 มิลลิโมล/ลิตร (200 มก./เดซิลิตร)
- ค่าการตรวจน้ำตาลสะสมในเลือด (Hemoglobin A1c) มากกว่า 6.5%
หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ควรเข้าพบคุณหมอตามนัดหมายทุกครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพ หรือรับคำแนะนำ ดังต่อไปนี้
- ตรวจวัดระดับความดันโลหิต
- ตรวจสอบดวงตาด้านหลังด้วยการใช้เครื่องมือส่องไฟพิเศษ
- ตรวจน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C test) ทุก ๆ 6 เดือนหากสามารถควบคุมโรคเบาหวานได้
- ตรวจสอบผิวหรือกระดูกบริเวณขาและเท้า และเข้ารับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีตรวจสอบโรคเส้นประสาทที่เกิดจากเบาหวาน (Diabetic Nerve Disease) โดยสังเกตได้จากอาการชา หากมีอาการดังกล่าวบ่อย ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตามรายการต่อไปนี้เป็นประจำทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งด้วย
- ตรวจวัดระดับของคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
- ตรวจสมรรถภาพของไต เช่น อัตราการกรองของไต (Glomerular filtration rate) ยูเรียไนโตรเจนในเลือด (Blood urea nitrogen) ไมโครอัลบูมินูเรีย (Microalbuminuria) เซรั่มครีอะตินีน (Serum creatinine) เพื่อตรวจสอบว่าไตทำงานได้ปกติ
- ไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจฟันและทำความสะอาดฟันอย่างละเอียด และอย่าลืมแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบด้วยว่าป่วยเป็นโรคเบาหวาน
การตรวจสุขภาพเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์ช่วยหาวิธีควบคุมโรคเบาหวาน และป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ดีขึ้น
การรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 1
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 อาจเกิดได้ฉับพลันและรุนแรง ฉะนั้น หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ อาจต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล และตรวจร่างกายทุกสัปดาห์ จนกว่าจะสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
วิธีรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่นิยมใช้ ได้แก่
1.อินซูลิน
ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ให้หายขาดได้ อินซูลินจึงเป็นวิธีควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ดีที่สุดในปัจจุบัน ผู้ป่วยสามารถฉีดอินซูลินได้ที่บ้าน ปกติแล้วฉีด 2-3 ครั้งต่อวัน แต่ควรสอบถามวิธีปรับขนาดยาอินซูลินกับแพทย์เป็นประจำ เพื่อจะได้เฝ้าสังเกตระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเหมาะสม การใช้อินซูลินเกินขนาด อาจนำไปสู่ภาวะอันตรายอย่าง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)
อินซูลินมีทั้งหลายประเภท เช่น
- ประเภทออกฤทธิ์เร็ว (Rapid-acting Insulin) – เริ่มออกฤทธิ์หลังฉีด 15 นาที และออกฤทธิ์ได้นาน 2-4 ชั่วโมง
- ประเภทออกฤทธิ์ในช่วงปกติ (Regular or Short-acting Insulin) – เริ่มออกฤทธิ์หลังฉีด 30 นาที และออกฤทธิ์ได้นานขึ้น 3-6 ชั่วโมง
- ประเภทออกฤทธิ์นาน (Long-acting Insulin) – จะออกฤทธิ์ในการรักษานานมากกว่า 24 ชั่วโมงขึ้นไป แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการดูดซึมหลายชั่วโมง
แพทย์อาจสั่งยาให้ผู้ป่วยแต่ละรายแตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับอาการโรคเบาหวานของผู้ป่วยรายนั้น ๆ มากที่สุด
2. อาหารที่ดีต่อสุขภาพ
อาหารที่ดีต่อสุขภาพจะช่วยควบคุมระดับของน้ำตาลกลูโคสในเลือด สิ่งสำคัญคือ ผู้ป่วยต้องควบคุมการบริโภคแป้งและน้ำตาลในอยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ หากไม่แน่ใจว่าควรบริโภคอย่างไร ควรปรึกษานักโภชนาการ
3. การออกกำลังกาย
หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะการออกกำลังกายช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวม ทั้งยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรดูแลเท้า และตรวจดวงตาเป็นประจำ เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนในอนาคต
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองเพื่อจัดการกับโรคเบาหวานชนิดที่ 1
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองตามเคล็ดลับต่อไปนี้ อาจช่วยให้รับมือกับโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ได้ดีขึ้น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และรับประทานแต่ละมื้อในเวลาเดียวกันทุกวัน
- ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ
- ตรวจวัดระดับของน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ อาจต้องตรวจน้ำตาลในเลือด 4-8 ครั้งต่อวัน หากมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้ ทั้งอาหารเหลวและอาหารแข็ง ควรปรึกษาแพทย์ทันที
- หากระดับของน้ำตาลในเลือดแปรปรวน โปรดติดต่อแพทย์ทันที
- หากมีอาการชัก ไม่ยอมตื่น หรือหมดสติ ต้องได้รับการปฐมพยาบาลและนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที
- ตรวจสุขภาพเท้าทุกวัน หากพบความผิดปกติใด ๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หากคุณมีข้อสงสัย โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจได้ดีขึ้นถึงวิธีการรักษาที่ดีที่สุด
[embed-health-tool-bmi]