ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรวิสสุตา ชั้นประเสริฐ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group
โพรเบเนซิด (Probenecid) เป็นยาที่ใช้เพื่อป้องกันโรคเกาต์ และโรคข้ออักเสบแบบเกาต์ (Gouty arthritis) ยานี้ไม่สามารถใช้เพื่อรักษาอาการเกาต์กำเริบที่ฉับพลันหรือรุนแรงได้ และอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น ยาโพรเบเนซิดนั้นอยู่ในกลุ่มของยายูริโคซูริก (Uricosurics) ช่วยลดระดับของกรดยูริกภายในร่างกายที่มีปริมาณสูง โดยการช่วยไตกำจัดกรดยูริก เมื่อระดับของกรดยูริกนั้นสูงเกินไป จะทำให้เกิดผลึกขึ้นที่ข้อต่อ และทำให้เกิดโรคเกาต์ การลดระดับของกรดยูริกยังสามารถช่วยไตของคุณได้อีกด้วย
แพทย์อาจสั่งยาโพรเบเนซิดร่วมกับยาปฏิชีวนะบางชนิด เช่น เพนิซิลิน (ญenicillin) ช่วยเพิ่มระดับของยาปฏิชีวนะภายในร่างกาย ช่วยให้ยาปฏิชีวนะทำงานได้ดีขึ้น
ไม่ควรใช้ยาโพรเบเนซิดในเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี
เพื่อการป้องกันโรคเกาต์ ควรรับประทานยานี้โดยปกติคือวันละ 2 ครั้งพร้อมกับอาหาร หรือยาลดกรด เพื่อลดอาการท้องไส้ปั่นป่วน หรือตามที่แพทย์กำหนด ควรดื่มน้ำเปล่าหนึ่งแก้วทุกครั้งที่รับประทานยา และดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน (แก้วละ 8 ออนซ์) ขณะที่กำลังใช้ยานี้เพื่อป้องกันโรคนิ่วในไต หากคุณจำเป็นต้องจำกัดปริมาณการบริโภคน้ำ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับแนวทางเพิ่มเติม แพทย์ยังอาจแนะนำวิธีการลดความเป็นกรดภายในปัสสาวะของคุณ เช่น หลีกเลี่ยงการรับประทานกรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) หรือวิตามินซีในปริมาณมาก เพื่อป้องกันโรคนิ่วในไต แพทย์ยังอาจสั่งยาอื่น เช่นโซเดียมไบคาร์บอเนต (sodium bicarbonate) หรือซิเตรท (citrate) เพื่อให้ปัสสาวะมีความเป็นกรดน้อยลง
ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์ และการตอบสนองต่อการรักษา แพทย์อาจสั่งให้คุณเริ่มต้นใช้ยาที่ขนาดต่ำก่อน แล้วจึงค่อยปรับขนาดยา โดยขึ้นอยู่กับระดับของกรดยูริก และอาการของโรคเกาต์ หลังจากที่คุณไม่มีอาการเป็นเวลาหลายเดือน และกรดยูริกอยู่ในระดับที่ปกติ แพทย์อาจจะลดขนาดยาโพรเบเนซิดมาที่ขนาดยาต่ำที่สุดเท่าที่มีประสิทธิภาพ ควรทำตามแนวทางของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ไม่ควรเริ่มใช้ยาโพรเบเนซิดในช่วงที่มีอาการเกาต์กำเริบฉับพลันหรือรุนแรง ควรรอจนอาการที่มีอยู่นั้นหายไปแล้วจึงค่อยให้ยา คุณอาจจะมีอาการโรคเกาต์กำเริบบ่อยครั้งขึ้น ในช่วงหลายเดือนหลังจากเริ่มใช้ยานี้ ขณะที่ร่างกายกำลังกำจัดกรดยูริกส่วนเกิน หากคุณมีอาการโรคเกาต์กำเริบขณะที่กำลังใช้ยาโพรเบเนซิด ควรใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่น เพื่อรักษาอาการปวดจากโรคเกาต์ต่อไป
ยาโพรเบเนซิดไม่ใช่ยาบรรเทาอาการปวด สำหรับการบรรเทาอาการปวดจากโรคเกาต์ ควรใช้ยาสำหรับรักษาอาการโรคเกาต์กำเริบที่แพทย์กำหนดต่อไป เช่น ยาโคลชิซิน (colchicine) ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรืออินโดเมทาซิน (indomethacin)
หากคุณใช้ยานี้เพื่อเพิ่มระดับของยาปฏิชีวนะในร่างกาย ควรทำตามแนวทางการใช้ยาของแพทย์ ถึงเวลาที่ควรใช้ยาปฏิชีวนะและเวลาที่ควรใช้ยาโพรเบเนซิด
ใช้ยานี้เป็นประจำเพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาสูงสุด เพื่อให้ง่ายต่อการจำควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
แจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการของคุณไม่หายไปหรือแย่ลง
ยาโพรเบเนซิดควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาโพรเบเนซิดบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัย โปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาโพรเบเนซิดลงในชักโครก หรือเทลงในท่อระบายน้ำเว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติม เกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ก่อนใช้ยาโพรเบเนซิด แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบหาก คุณแพ้ต่อยานี้ หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีสารไม่ออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ไม่ควรใช้ยานี้หากคุณมีสภาวะบางอย่าง ก่อนใช้ยานี้ โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ได้แก่ จำนวนเม็ดเลือดต่ำ เช่น ภาวะโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ (aplastic anemia) หรือการกดไขกระดูก (bone marrow depression) โรคนิ่วในไตบางชนิด (กรดยูริก)
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะการรักษาโรคมะเร็ง ภาวะขาดเอมไซม์บางชนิด อย่างเอนไซม์จี6พีดี (G6PD) ปัญหาเกี่ยวกับไต เช่น นิ่วในไต หรือไตอุดตัน โรคแผลในกระเพาะอาหาร
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็อาจทำให้อาการวิงเวียนรุนแรงขึ้นได้ อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัว จนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย ควรจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบว่า คุณกำลังใช้ยานี้
สมรรถภาพของไตนั้นจะลดลงเมื่อคุณมีอายุเพิ่มขึ้น ยานี้จะได้รับการกำจัดโดยไต ดังนั้น ผู้สูงอายุจึงมีความเสี่ยงมากกว่า ที่จะเกิดผลข้างเคียงขณะที่กำลังใช้ยานี้ รวมไปถึงปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร
ในช่วงขณะการตั้งครรภ์ ควรใช้ยานี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น โปรดปรึกษาความเสี่ยงและประโยชน์กับแพทย์
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ยานี้สามารถส่งผ่านน้ำนมแม่ได้หรือไม่ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้
ยาโพรเบเนซิดจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด B โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
อาจมีอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร วิงเวียน อาเจียน ปวดหัว ปวดเหงือก หรือปัสสาวะบ่อยครั้ง ในขณะที่ร่างกายกำลังปรับตัวเข้ากับยา หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้น โปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที
โปรดจำไว้ว่า การที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากคำนวณแล้วว่า ยามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
แจ้งให้แพทย์ทราบในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นแต่รุนแรงดังต่อไปนี้ ได้แก่ ปวดหลังส่วนล่าง ปัสสาวะติดขัด หรือมีอาการปวดขณะปัสสาวะ ปริมาณหรือสีของปัสสาวะเปลี่ยนแปลง
แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากเกิดผลข้างเคียงที่หายากแต่รุนแรงมากดังต่อไปนี้ ได้แก่ มีรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย มีสัญญาณของการติดเชื้อ (เช่น เป็นไข้หรือเจ็บคอ) ปวดท้องอย่างรุนแรง อุจจาระสีอ่อน เหนื่อยล้าผิดปกติ ปัสสาวะสีคล้ำ ผิวหนังหรือดวงตาเป็นสีเหลือง
การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้คือ ผดผื่น คันหรือบวม (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ) วิงเวียนขั้นรุนแรง หายใจติดขัด
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ยาที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ได้แก่ การทำเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง (cancer chemotherapy) ยาคีโตโรแลค (ketorolac) ยาไดฟีลลีน (dyphylline) ยาเมโธเทรกเซท (methotrexate) ยาไพราซินาไมด์ (pyrazinamide) ยาซาลิไซเลต (salicylates) อย่างยาแอสไพรินขนาดสูง ยาซิโดวูดีน (zidovudine) ยาบางชนิดที่กำจัดโดยไต เช่น ยาเซฟตาซิดิม (ceftazidime) หรืออะวิเบคแทม (avibactam) ยาแดพโซน (dapsone) ยาเฮพาริน (heparin) หรือยาฟอสโฟมัยซิน (fosfomycin)
แอลกอฮอล์สามารถลดประสิทธิภาพของยานี้ได้ โปรดจำกัดปริมาณการบริโภคแอลกอฮอล์ระหว่างใช้ยานี้
ยานี้อาจส่งผลกระทบต่อการตรวจในห้องแล็บบางอย่าง รวมถึงการตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในปัสสาวะ (urine glucose tests) และอาจทำให้ผลตรวจเป็นเท็จได้ ควรแจ้งให้บุคลากรและแพทย์ของคุณทุกคนทราบว่าคุณกำลังใช้ยานี้
ควรอ่านฉลากยาของยาที่คุณใช้ทั้งหมด (เช่น ยาแก้แพ้หรือยาแก้ไอแก้หวัด) เนื่องจากยาเหล่านี้อาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการง่วงซึมได้ โปรดสอบถามเภสัชกรสำหรับวิธีการใช้ยาเหล่านี้อย่างปลอดภัย
ยาโพรเบเนซิดอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ยาโพรเบเนซิดอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ยาโพรเบเนซิดอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคเกาต์
ไม่ควรเริ่มต้นการรักษาจนกว่าอาการโรคเกาต์กำเริบจะเบาบางลง
คำแนะนำ
การใช้งาน
เพื่อรักษาภาวะกรดยูริกเกินในเลือด (hyperuricemia) ที่เกี่ยวข้องกับโรคเกาต์และโรคข้ออักเสบแบบเกาต์
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคข้ออักเสบแบบเกาต์
ไม่ควรเริ่มต้นการรักษาจนกว่าอาการโรคเกาต์กำเริบจะซาลง
คำแนะนำ
การใช้งาน
เพื่อรักษาภาวะกรดยูริกเกินในเลือด ที่เกี่ยวข้องกับโรคเกาต์และโรคข้ออักเสบแบบเกาต์
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อเสริมการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
ครั้งละ 500 มก. รับประทานวันละ 4 ครั้ง
คำแนะนำ
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ไม่ได้แนะนำให้ใช้ยานี้ร่วมกับยาเซฟาโลสปอรินแบบรับประทาน (cephalosporins) หรือยาแอมพิซิลลิน (ampicillin) เพื่อรักษาการติดเชื้อหนองในแล้ว (gonococcal infections)
การใช้งาน
เพื่อเสริมการรักษาที่ใช้ยาเพนิซิลลิน (penicillin) หรือยาแอมพิซิลลิน (ampicillin) ยาเมธิซิลลิน (methicillin) ยาโอซาซิลลิน (oxacillin) ยาโคลซาซิลลิน (cloxacillin) หรือยานาฟซิลลิน (nafcillin) เพื่อเพิ่มและยืดระยะเวลาของระดับพลาสม่าของยาปฏิชีวนะใดๆ ก็ตามที่กำลังใช้
การปรับขนาดยาสำหรับไต
โรคเกาต์
สำหรับการเสริมยาเพนิซิลลิน
การปรับขนาดยา
การทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง
การเสริมยาปฏิชีวนะ
คำแนะนำอื่นๆ
ทั่วไป
การเฝ้าระวัง
โรคเกาต์
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย:
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อเสริมการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
อายุ: 2 ถึง 14 ปีและมีนำหนักน้อยกว่า 50 กก.
น้ำหนักมากกว่า 50 กก.
คำแนะนำ
การใช้งาน
เพื่อเสริมการรักษาที่ใช้ยาเพนิซิลลิน (penicillin) หรือยาแอมพิซิลลิน (ampicillin) ยาเมธิซิลลิน (methicillin) ยาโอซาซิลลิน (oxacillin) ยาโคลซาซิลลิน (cloxacillin) หรือยานาฟซิลลิน (nafcillin) เพื่อเพิ่มและยืดระยะเวลาของระดับพลาสม่าของยาปฏิชีวนะใดๆ ก็ตามที่กำลังใช้
ข้อควรระวัง
ห้ามใช้ยาในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
หมายเหตุ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย