โกจิเบอร์รี่มีวิตามินเอ รวมถึงลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ที่อาจช่วยปกป้องดวงตาจากการถูกอนุมูลอิสระทำลายเนื้อเยื่อและเซลล์ จนส่งผลให้การมองเห็นเปลี่ยนแปลง ตาแห้ง และเกิดโรคตาอื่น ๆ จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Clin Ophthalmo ปี พ.ศ. 2562 ที่ศึกษาเกี่ยวกับผลของการรับประทานอาหารเสริมวิตามินเอในระยะสั้นต่อฟิล์มน้ำตาในผู้ป่วย ที่มีอาการตาแห้ง จำนวน 30 คน อายุ 18-38 ปี โดยให้ผู้เข้ารับการทดสอบ รับประทานอาหารเสริมวิตามินเอ ขนาด 1,500 มิลิกรัม/วัน เป็นเวลา 3 วัน พบว่า การรับประทานอาหารเสริมวิตามินเอในระยะสั้นอาจช่วยคงความชุ่มชื้นของน้ำตาในดวงตา และช่วยลดอาการตาแห้งได้ แต่อาจไม่สามารถกระตุ้นให้ผลิตน้ำตาเพิ่มได้
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Optometry and Vision Science ปี พ.ศ.2554 ที่ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพของโกจิเบอร์รี่ต่อจุดภาพชัดของดวงตาและระดับของสารต้านอนุมูลอิสระในพลาสมา โดยให้ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี อายุ 65-70 ปี จำนวน 150 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับประทานโกจิเบอร์รี่ และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก เป็นเวลา 90 วัน พบว่า กลุ่มที่รับประทานโกจิเบอร์รี่มีระดับของซีแซนทีน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของจอตา และมีระดับของสารต้านอนุมูลอิสระภายในเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจสามารถช่วยลดการสร้างเม็ดสีบริเวณส่วนกลางเรตินาของดวงตา และลดการสะสมของไขมันหรือที่เรียกว่าดรูเซน (Drusen) ซึ่งเป็นสารที่ส่งผลให้เกิดจุดสีเหลืองบริเวณจุดภาพชัดของตา ที่อาจนำไปสู่โรคจอประสาทตาเสื่อมได้
การรับประทานโกจิเบอร์รี่อาจสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มระดับของอินซูลินในเลือดได้ ซึ่งอาจมีประโยชน์ต่อการควบคุมอาการของโรคเบาหวาน จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Medicinal Chemistry ปี พ.ศ. 2558 ที่ทำการทดสอบประสิทธิภาพของของโกจิเบอร์รี่ต่อการต้านเบาหวานในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 67 ราย โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับประทานโกจิเบอร์รี่ 30 คน และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก 37 คน เป็นเวลา 3 เดือน พบว่า กลุ่มที่ได้รับประทานโกจิเบอร์รี่มีระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังมีระดับของอินซูลินในเลือดและระดับของคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) เพิ่มขึ้นอีกด้วย
การรับประทานโกจิเบอร์รี่อาจช่วยเพิ่มคุณภาพของการนอนหลับให้ดีขึ้น เนื่องจากโกจิเบอร์รี่อาจช่วยลดความวิตกกังวล และลดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและอาการทางจิตที่รบกวนต่อการนอนหลับ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Journal of Alternative and Complementary Medicine ปี พ.ศ. 2551 ได้ทำศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของน้ำโกจิเบอร์รี่ โดยสุ่มทดลองให้ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงดื่มน้ำโกจิเบอร์รี่ 120 มิลลิตร เป็นเวลา 14 วัน และให้ตอบแบบสอบถามเพื่อวัดผล พบว่า การรับประทานโกจิเบอร์รี่ อาจช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบประสาทและจิตใจ ทำให้สามารถนอนหลับง่ายขึ้นและตื่นง่ายขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดความเหนื่อยล้าและความเครียดได้ อย่างไรก็ตาม อาจจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม เพื่อยืนยันสรรพคุณของโกจิเบอร์รี่ในการช่วยเรื่องการนอนหลับ
ข้อควรระวังในการบริโภคโกจิเบอร์รี่
การรับประทานโกจิเบอร์รี่อาจมีความปลอดภัยหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม โกจิเบอร์รี่อาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้น หากรับประทานโกจิเบอร์รี่เป็นครั้งแรก ควรรับประทานในปริมาณน้อยและหากสังเกตพบอาการแพ้ เช่น ผื่น อาการคัน คอบวม หายใจลำบาก ควรหยุดรับประทานในทันที และเข้ารับการรักษาให้เร็วที่สุด
นอกจากนี้ โกจิเบอร์รี่อาจมีปฏิกิริยากับยารักษาโรคเบาหวาน ยาลดความดันโลหิต และยาต้านการแข็งตัวของเลือด อีกทั้งสตรีตั้งครรภ์อาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานโกจิเบอร์รี่ เนื่องจากมีสารบีเทน (Betaine) ที่อาจกระทบต่อสุขภาพของทารกในครรภ์และเพิ่มความเสี่ยงแท้งบุตร
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย