โรคหัดเยอรมันเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส อาจหายได้เองโดยไม่ต้องทำการรักษา แต่โรคนี้อาจส่งผลอันตรายอย่างรุนแรงหากเกิดขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้ทารกเจริญเติบโตช้า พิการ หรือบกพร่องทางสติปัญญา อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการตั้งครรภ์และป้องกัน โรคหัดเยอรมัน ทำร้ายทารกในครรภ์ ควรตรวจสอบประวัติการฉีดวัคซีน หากไม่เคยฉีดวัคซีนหัดเยอรมัน ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็วที่สุด
[embed-health-tool-due-date]
โรคหัดเยอรมัน คืออะไร
โรคหัดเยอรมัน (Rubella หรือ German measles) เกิดจากการที่ร่างกายติดเชื้อไวรัสประเภทหนึ่ง โดยจะก่อให้เกิดอาการที่เห็นเด่นชัดคือ ผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ซึ่งคล้ายกับโรคหัด แต่สองโรคนี้แตกต่างกันคือ เกิดจากเชื้อไวรัสคนละชนิด และอาการของโรคหัดเยอรมันไม่รุนแรงเท่ากับโรคหัด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโดยปกติโรคหัดเยอรมันนั้นมักไม่ก่อให้เกิดอันตรายที่รุนแรงสำหรับคนทั่วไป แต่หากเกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์ โรคหัดเยอรมัน ทำร้ายทารกในครรภ์ โดยอาจทำให้ทารกพิการแต่กำเนิดหรือเสี่ยงเป็นโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โลหิตจาง ตับอักเสบ
ทั้งนี้ โรคหัดเยอรมันจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์มากที่สุดในช่วงไตรมาสแรกหรือ 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสโรคหัดเยอรมันมักมีโอกาสมากกว่า 90% ที่จะส่งต่อเชื้อไวรัสนี้ไปยังทารกในครรภ์ ซึ่งส่งผลให้เกิดอันตรายต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์ หรือในกรณีรุนแรงอาจทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์ได้ โดยทั่วโลกนั้นมีทารกที่เป็นโรคหัดเยอรมันตั้งแต่กำเนิด เป็นจำนวนมากกว่า 100,000 รายต่อปี
โรคหัดเยอรมันทำร้ายทารกในครรภ์ ได้อย่างไร
โรคหัดเยอรมันอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพทารกในครรภ์ โดยอาจก่อให้เกิดภาวะต่าง ๆ ดังนี้
- ภาวะทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า (Growth retardation)
- โรคต้อกระจก (Cataracts)
- การได้ยินบกพร่อง หรือหูหนวก
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital heart defects) โดยเฉพาะโรคลิ้นหัวใจพัลโมนารีตีบแคบ (pulmonary artery stenosis) และโรคหลอดเลือดหัวใจเกิน (patent ductus arteriosus)
- อวัยวะส่วนอื่นๆ พิการ เช่น กระโหลกศีรษะเล็กผิดปกติ
- ภาวะโลหิตจาง
- ตับอักเสบ
- ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา
ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์เป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงมากที่สุด อย่างไรก็ตาม การเป็นโรคหัดเยอรมันในช่วงอื่นของการตั้งครรภ์อาจเป็นอันตรายต่อทารกได้เช่นกัน ควรเฝ้าติดตามสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด และขอคำแนะนำจากคุณหมอ
อาการของ โรคหัดเยอรมัน
สัญญาณและอาการของโรคหัดเยอรมันค่อนข้างยากต่อการสังเกต โดยเฉพาะในเด็ก กว่า 25-50% ของผู้ที่ติดเชื้อหัดเยอรมันนั้นอาจจะไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แต่หากมีอาการที่แสดงให้เห็น อาการเหล่านี้ก็มักจะเกิดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์แรกหลังจากติดเชื้อไวรัส และมักจะมีอาการต่อเนื่องไปเป็นเวลาประมาณ 5 วัน
อาการที่อาจเกิดขึ้นมีดังต่อไปนี้
- เป็นไข้ต่ำ ประมาณ 38 องศาเซลเซียส
- ปวดหัว
- คัดจมูก น้ำมูกไหล
- ตาแดง ตาอักเสบ
- บริเวณท้ายทอย หลังคอ หรือหลังใบหูอาจจะมีอาการปูดบวม
- มีผื่นแดงใบบริเวณใบหน้า ก่อนจะลุกลามไปยังลำตัวและแขนขา
- ปวดข้อต่อ โดยเฉพาะในผู้หญิง
การป้องกันโรคหัดเยอรมัน
โรคหัดเยอรมันอาจป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน ซึ่งมักจะมาในรูปแบบวัคซีนรวมสำหรับป้องกันโรคหลายชนิด เช่น โรคหัด โรคคางทูม โรคหัดเยอรมัน หรือที่เรียกว่า วัคซีน MMR ทั้งนี้ เด็กควรจะได้รับวัคซีน MMR ตั้งแต่ช่วงอายุ 12-15 เดือน และรับวัคซีนอีกครั้งเมื่อมีอายุ 4-6 ปี
คนส่วนใหญ่มักจะได้รับวัคซีนครบสองครั้งแล้วตั้งแต่ช่วงเป็นทารก แต่หากไม่เคยได้รับวัคซีนชนิดนี้มาก่อน ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนชนิดนี้ โดยเฉพาะเพศหญิงที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ที่สามารถตั้งครรภ์ได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัดเยอรมันระหว่างการตั้งครรภ์
วัคซีนหัดเยอรมันไม่เหมาะสำหรับใครบ้าง
- ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้หญิงที่มีแผนว่าจะตั้งครรภ์ภายใน 4 สัปดาห์หลังจากฉีดวัคซีนนี้ เนื่องจากวัคซีนหัดเยอรมันนี้เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น สามารถทำให้เกิดอันตรายกับทารกในครรภ์ได้
- ผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อเจลาติน ยาปฏิชีวนะนีโอมัยซิน (Neomycin) หรือเคยได้รับวัคซีน MMR มาก่อนแล้วมีอาการแพ้
คนส่วนใหญ่ที่ได้รับวัคซีนนั้นมักจะไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ หรือหากมีก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คนประมาณ 15% อาจจะมีอาการไข้ต่ำๆ ภายใน 12 วันหลังจากรับวัคซีน และอีก 5% ที่อาจจะมีอาการผดผื่น ผู้หญิงบางรายอาจจะมีอาการปวดข้อต่อ อย่างไรก็ตาม อัตราของผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อวัคซีนหัดยเยอรมันจำนวน 1 ใน 1 ล้านคน