อาการท้อง อาจปรากฏขึ้นหลังจากอสุจิปฏิสนธิกับไข่ และฝังตัวลงในผนังมดลูกของผู้หญิงได้ 4-6 สัปดาห์ ส่วนใหญ่อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ประจำเดือนขาด คัดเต้านม เพื่อให้ทราบผลที่แน่ชัดควรตรวจครรภ์ด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง หรือเข้ารับการตรวจครรภ์จากคุณหมอ เมื่อมั่นใจว่าตั้งครรภ์แน่ชัดแล้ว ควรเอาใจใส่ดูแลสุขภาพตนเองระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดีของทารก
[embed-health-tool-due-date]
อาการท้อง สังเกตจากอะไร
อาการท้อง อาจสังเกตได้จากสัญญาณเตือน ดังต่อไปนี้
อาการเริ่มต้นการตั้งครรภ์ที่เห็นได้ชัดคือประจำเดือนขาดนานกว่า 2 เดือน บางคนอาจมีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อยจากการฝังตัวของมดลูก อย่างไรก็ตาม การที่ประจำเดือนขาดอาจไม่ได้หมายความว่าตั้งครรภ์เสมอไป แต่อาจมีสาเหตุมาจากความเครียด การใช้ยาคุมกำเนิด ความเหนื่อยล้า น้ำหนักที่เพิ่มหรือลดลงผิดปกติ
-
ปวดท้องส่วนล่าง
หลังจากอสุจิปฏิสนธิกับไข่และฝังตัวในผนังมดลูกได้ 6-12 สัปดาห์ บางคนอาจมีอาการปวดท้องเกร็งคล้ายกับอาการปวดท้องประจำเดือน และมีตกขาว ผู้หญิงตั้งครรภ์อาจมีอาการตกขาวมากขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ยกเว้นกรณีตกขาวมีกลิ่น พร้อมกับมีอาการแสบร้อนและคันช่องคลอด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อจากแบคทีเรียหรือเชื้อราที่ช่องคลอดควรเข้าพบคุณหมอเพื่อตรวจสาเหตุให้แน่ชัด
-
เต้านมคัด
เป็นอีกหนึ่งอาการท้องที่เริ่มขึ้นหลังการปฏิสนธิ เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนการตั้งครรภ์ เพื่อเตรียมผลิตน้ำนมให้ทารกหลังคลอด ส่งผลให้หน้าอกขยายใหญ่ หัวนมเปลี่ยนสี รู้สึกเจ็บเมื่อถูกสัมผัสหรือเสียดสี
-
แพ้ท้อง
อาการแพ้ท้องเกิดจากฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปแต่ละบุคคลที่ โดยส่วนใหญ่อาจส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ เป็นลม ไวต่อกลิ่น เหม็นอาหารบางอย่างแม้แต่อาหารที่ชื่นชอบ อยากรับประทานอาหารแปลก ๆ อาการเหล่านี้อาจบรรเทาลงในช่วงสัปดาห์ที่ 13-14 ของการตั้งครรภ์
-
เหนื่อยล้า
อาการเหนื่อยล้า อาจเกิดขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเพิ่มระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone)ที่ทำให้ร่างกายเพิ่มการผลิตเลือดเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก จึงอาจส่งผลให้คุณแม่อ่อนเพลีย
-
ปัสสาวะบ่อย
เมื่อเข้าสู่การตั้งครรภ์ในสัปดาห์ที่ 6-8 อาจส่งผลให้ปัสสาวะบ่อยขึ้นเนื่องจากมดลูกขยายตัวกดทับกระเพาะปัสสาวะ จึงทำให้อาจปัสสาวะบ่อยขึ้นตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนก็อาจส่งผลให้มีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้นเช่นกัน
-
อาการท้องผูก
การตั้งครรภ์อาจทำให้ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพิ่มขึ้น ทำให้การเคลื่อนอาหารผ่านลำไส้ลดลง จนนำไปสู่อาการท้องผูกในคุณแม่ตั้งครรภ์
วิธีตรวจครรภ์ด้วยตัวเอง
หากมีอาการท้อง ควรตรวจครรภ์เพื่อให้ทราบผลที่แน่ชัดว่าตั้งครรภ์หรือไม่ ซึ่งสามารถตรวจโดยใช้ชุดอุปกรณ์ตรวจครรภ์ด้วยตัวเอง หรือการตรวจที่โรงพยาบาล สำหรับการตรวจครรภ์ด้วยตัวเอง ควรตรวจครรภ์ในช่วงเช้าโดยใช้ปัสสาวะแรกของวัน เพราะอาจมีฮอร์โมนการตั้งครรภ์ระดับเข้มข้น ช่วยให้ผลการตรวจครรภ์มีความแม่นยำมากขึ้น
ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตัวเองมี 2 รูปแบบ ดังนี้
1. ชุดทดสอบการตั้งครรภ์แบบจุ่ม
ภายในกล่องมีถ้วยเก็บตัวอย่างปัสสาวะ กระดาษหรือเครื่องพลาสติกที่มีส่วนปลายไว้จุ่มปัสสาวะ
วิธีใช้
- ปัสสาวะลงในถ้วยเก็บตัวอย่างปัสสาวะ
- นำกระดาษทดสอบ หรือนำอุปกรณ์พลาสติกส่วนปลายลงไปจุ่มไม่เกินเส้นที่กำหนด 7-10 วินาที
- ปิดฝาหรือวางกระดาษในบนพื้นที่ที่สะอาด รอเวลา 5 นาที
2. ชุดทดสอบตั้งครรภ์แบบหยด
ประกอบด้วยถ้วยเก็บตัวอย่างปัสสาวะ หลอดหยดสำหรับดูดน้ำปัสสาวะ ตลับพลาสติกทดสอบการตั้งครรภ์
วิธีใช้
- ปัสสาวะลงในถ้วยเก็บตัวอย่างปัสสาวะ
- นำหลอดดูดน้ำปัสสาวะหยดลงบนตลับการทดสอบที่มีตัวอักษร S ประมาณ 3-6 หยด
- วางตลับทดสอบการตั้งครรภ์ 3 นาที
บนกระดาษ อุปกรณ์พลาสติก และตลับการทดสอบ จะมีตัวอักษร C และ T ที่บ่งบอกถึงผลลัพธ์ เมื่อครบเวลาตามกำหนดแล้ว หากพบว่ามีเส้นสีแดงขึ้นตรงกับตัวอักษร C เพียง 1 ขีด อาจมีความหมายว่า “ไม่ตั้งครรภ์” แต่หากมีเส้นสีแดงตรงกับตัวอักษร C และ T หรือ 2 ขีด อาจมีความเป็นไปได้ว่ากำลัง “ตั้งครรภ์” แต่หากเส้นสีแดงที่ขึ้นเป็นสีจาง ๆ อาจจำเป็นต้องทำการทดสอบการตั้งครรภ์ใหม่ในช่วงเช้า หรือเข้ารับการตรวจครรภ์จากคุณหมอด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การตรวจเลือด
การดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์
วิธีดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ อาจทำได้ดังนี้
- เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไทรอยด์
- รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน โดยเฉพาะอาหารเสริมโฟลิก 400 โครกรัม/วัน เพื่อช่วยป้องกันข้อบกพร่องของระบบประสาทและไขสันหลังของทารกในครรภ์
- ไม่ควรรับประทานยา อาหารเสริม และสมุนไพรเอง โดยไม่ผ่านการอนุญาตจาคุณหมอ เพราะยาบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่ตั้งครรภ์ ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพของทารกระยะยาว เช่น ปัญหาระบบทางเดินหายใจ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการแท้งบุตร คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักทารกแรกเกิดต่ำ
- ฉีดวัคซีนเพิ่มประสิทธิภาพให้ภูมิคุ้มกัน เช่น วัคซีนหัดเยอรมัน โรคคางทูม ไข้หวัดใหญ่
- รักษาน้ำหนักตามมาตรฐานด้วยการออกกำลังกายระดับเบา เช่น แอโรบิก คุณแม่ตั้งครรภ์ควรระวังไม่ให้น้ำหนักตัวมากหรือน้อยเกินไป เพราะการมีน้ำหนักน้อยขณะตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารก และหากมีน้ำหนักเกินก็อาจก่อให้เกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
- ดูแลสุขภาพจิตใจให้แจ่มใจ ลดความเครียด ความกังวล หากไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ อาจจำเป็นต้องปรึกษาคุณหมอด้านสุขภาพจิตเพื่อขอคำแนะนำ หรือรับการบำบัด
- หลีกเลี่ยงการสูดดมและสัมผัสกับสารเคมีรอบตัว เช่น โลหะ ยาฆ่าแมลง เพราะอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตทารกในครรภ์