การดูแลสุขภาพ คือการดูแลสุขภาพกาย สุขภาพจิต และการรักษาความสัมพันธ์กับรอบข้าง ให้แข็งแรง มีความสุข และสมดุล เพราะภาวะสุขภาพส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องงาน ครอบครัว การเงิน ความสัมพันธ์ เมื่อสุขภาพดี ชีวิตมักมีแนวโน้มที่จะดีตามไปด้วย
[embed-health-tool-heart-rate]
การดูแลสุขภาพ
การดูแลสุขภาพกาย
การดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ สามารถทำได้ดังนี้
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การเคลื่อนไหวร่างกาย นับเป็นสิ่งจำเป็นเพราะทำให้ร่างกายแข็งแรง กระปรี้กระเปร่า และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคซึมเศร้า
ใน 1 สัปดาห์ ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาที อาจแบ่งเป็นออกกำลังกายวันละ 30 นาที จำนวน 5 วัน หรืออาจเพิ่มเป็น 300 นาที ต่อสัปดาห์ เพื่อประโยชน์ทางสุขภาพที่มากขึ้น
การออกกำลังกาย สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน เช่น การขึ้นบันไดแทนลิฟต์ การเดินไปเดินมาในบ้านระหว่างใช้คอมพิวเตอร์ การทำงานบ้าน และการเดินไปยังจุดหมายใกล้ ๆ อย่างโรงอาหารหรือร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน แทนการใช้ยานพาหนะ นอกจากนั้น การเล่นกีฬาที่ชื่นชอบก็นับเป็นแรงจูงใจที่ดีเพื่อการดูแลสุขภาพกาย ทั้งวิ่ง ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก รวมทั้งการเล่นกีฬาในฟิตเนสโดยมีเทรนเนอร์ฝึกสอนก็นับเป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน
ทั้งนี้ ควรแบ่งเวลาออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกายตามที่ตัวเองชอบ รวมทั้งปรับให้เหมาะสมกับกิจวัตรประจำวันและตารางชีวิตเพื่อจะได้ไม่กระทบกับงานหรือการใช้ชีวิตด้านอื่น ๆ
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานในการใช้ชีวิตประจำวัน ควรเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับช่วงวัย และสภาพร่างกาย หรือภาวะสุขภาพ โดยในคนปกตินอกเหนือจากรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อแล้ว ควรเลือกรับประทานอาหาร ดังนี้
- รับประทานเส้นใยให้มากขึ้น หรืออย่างน้อยวันละ 30 กรัม โดยอาหารที่มีเส้นใยประกอบด้วย ผัก ผลไม้ ธัญพืช เพราะจะช่วยป้องกันท้องผูก ลดระดับน้ำตาลในเลือด และควบคุมน้ำหนัก
- ลดเกลือในมื้ออาหาร เพื่อรักษาระดับความดันเลือด ผู้ใหญ่ควรบริโภคเกลือในมื้ออาหารไม่เกิน 6 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชา เพื่อไม่ให้เกิดภาวะโซเดียมสูงเกินไป
- หลีกเลี่ยงการกินไขมันอิ่มตัว เพราะเป็นสาเหตุของภาวะไขมันในเลือดสูง เสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ สำหรับอาหารซึ่งควรหลีกเลี่ยงไม่ควรกินในปริมาณมาก ได้แก่ ของทอด ไอศกรีม อาหารหรือขนมหวานที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ขนมอบ ชีส ไส้กรอก เบคอน
- ลดการบริโภคน้ำตาล เนื่องจากการบริโภคน้ำตาลเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง รวมถึงโรคเบาหวาน นอกจากนี้ ในกรณีของผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน การลดปริมาณน้ำตาลที่บริโภคในแต่ละวัน ยังช่วยป้องกันไม่ให้อาการที่เป็นอยู่แย่ลงด้วย
นอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ช่วยให้รักษาสภาพจิตให้อยู่ในเกณฑ์ดี และลดความเสี่ยงจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง โรคซึมเศร้า
ระยะเวลานอนที่เหมาะสม มีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุ ดังนี้
- อายุ 3-5 ปี ควรนอน 10 ถึง 13 ชั่วโมงต่อวัน
- อายุ 6-12 ปี ควรนอน 9-12 ชั่วโมงต่อวัน
- อายุ 13-18 ปี ควรนอน 8-10 ชั่วโมงต่อวัน
- อายุ 18 ปี ขึ้นไป ควรนอนอย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อวัน
นอกจากนี้ ควรนอนในห้องนอนที่เงียบและมืดสนิท รวมทั้งหมั่นทำความสะอาดห้องนอนและเตียงนอนอยู่เสมอ เพราะห้องนอนและเตียงนอนเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพการนอนด้วยเช่นกัน และไม่ควรวางโทรศัพท์มือถือไว้บนเตียง เพราะอาจรบกวนการนอน และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ
การมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอนอกจากจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักแล้ว ยังส่งผลดีต่อร่างกายหลายประการเช่น
- ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์ทุก ๆ 1 นาที เผาผลาญพลังงานได้ประมาณ 5 แคลอรี่ หากมีเพศสัมพันธ์ค่อนข้างนานก็อาจยิ่งช่วยให้เผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น และช่วยกระตุ้นให้หัวใจสูบฉีดเลือดดีขึ้น
- ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ งานวิจัยของ The New England Research Institute พบว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง อาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจลงได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์
- ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น โดยปกติร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) ในปริมาณมากขณะหลับ นอกจากนั้น ร่างกายยังผลิตโปรแลคตินเมื่อมีเพศสัมพันธ์แล้วถึงจุดสุดยอดมากถึง 4 เท่าหากเทียบกับการถึงจุดสุดยอดเมื่อช่วยตัวเอง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ร่างกายรู้สึกง่วงและหลับได้ดีโดยเฉพาะในเพศชาย
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้ชาย การหลั่งอสุจิประมาณ 21 ครั้งต่อเดือน ลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากไดมากกว่าผู้ชายที่หลั่งประมาณ 4-7 ครั้งต่อเดือน อ้างอิงจากงานวิจัยของ Journal of the American Medical Association
การดูแลสุขภาพจิต
ไม่เพียงแต่การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้น แต่การดูแลรักษาสภาพจิตใจให้มั่นคง ไม่ขึ้นลงหรือหวั่นไหวไปตามสภาพแวดล้อม ย่อมมีส่วนทำให้ชีวิตสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น วิธีดูแลสุขภาพจิตให้แจ่มใสนั้น อาจทำได้ดังนี้
จัดการความโกรธ
การจัดการกับความโกรธเป็นหนึ่งในวิธีการดูแลสุขภาพจิตที่สำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากอารมณ์โกรธนั้นเกิดขึ้นได้ค่อนข้างง่าย และมักทำให้ขาดสติ นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิด ๆ พูดจาทำร้ายจิตใจผู้อื่น ทำให้คนรอบข้างเสียความรู้สึก ข้าวของเสียหาย หรือเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุซึ่งอันตรายถึงชีวิต อาจลองใช้วิธีเหล่านี้เพื่อช่วยระงับความโกรธ เช่น
- ออกกำลังกาย การออกกำลังกายทำให้จิตใจผ่องใส ร่างกายสดชื่น และยังช่วยลดความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความโกรธ ผู้ที่มีความเครียดสะสม เมื่อมีสิ่งเร้าเพียงเล็กน้อยก็สามารถโกรธหรือบันดาลโทสะได้
- มองหาต้นเหตุของความโกรธ ความโกรธอาจเกิดขึ้นได้ และอาจยับยั้งความโกรธได้ลำบาก แต่การค้นหาสาเหตุของความโกรธจะช่วยให้เกิดการทบทวนและเรียนรู้ และสามารถรับมือกับปัญหาที่เป็นต้นเหตุของความโกรธได้ดีขึ้น
- เรียนรู้ที่จะให้อภัย ความโกรธอาจเกิดจากโกรธตัวเองหรือโกรธคนรอบข้าง การรู้จักให้อภัยว่าทุกคนสามารถทำผิดพลาดได้อาจช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้น ปล่อยวางความโกรธได้ง่าย ให้อภัยผู้อื่น และอาจทำให้สามารถกลับไปสานสันพันธ์กับคนที่เคยทำให้โกรธได้
- เรียนรู้ที่จะผ่อนคลายบ้าง การให้เวลาตัวเองได้พักผ่อน อยู่ในมุมสงบ หลบหนีจากความวุ่นวายอาจช่วยให้มีสติและใจเย็นลง ทั้งนี้อาจทำได้ด้วยการนั่งสมาธิ เล่นโยคะ ฟังเพลง ออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ
- มองหาตัวช่วย เมื่อรู้สึกว่าความโกรธรุนแรงเกินควบคุม ควรมองหาตัวช่วยหรือเดินหนีออกไปจากสถานการณ์ที่ทำให้โกรธก่อน เพราะหากยังโกรธอยู่อาจขาดสติจนพูดหรือทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ดังนัั้นอาจเลือกออกไปสูดอากาศนอกห้อง พูดระบายหรือปรึกษากับคนที่ไว้ใจหรืออยู่ด้วยแล้วสบายใจ อาจทำให้ลดอารมณ์โกรธลงและทำให้รู้สึกดีขึ้น
รับมือกับความเครียด
ความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อาจเกิดจากปัญหาเรื่องงาน ความรัก ภาวะสุขภาพ หรือการสูญเสียบุคคลใกล้ตัว วิธีจัดการกับความเครียดมีหลายรูปแบบ เช่น
- ปรับทัศนคติของตนเอง ด้วยการทำใจยอมรับความจริง มองโลกด้วยทัศนคติบวก รวมทั้งการทำความเข้าใจว่าไม่มีใครสามารถควบคุมสถานการณ์ไปตามที่ต้องการได้ทุกอย่าง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายมีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน เพราะนอกจากจะช่วยลดความเครียดได้โดยตรงแล้ว ยังทำให้นอนหลับสบาย ช่วยลดปัญหาการนอนไม่หลับ อันเป็นผลพวงจากความเครียดสะสม
- พบเจอเพื่อนฝูง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หรือทำกิจกรรมใหม่ ๆ ให้สมองได้ผ่อนคลายอีกทั้งการได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระบายความรู้สึกรวมทั้งรับฟังปัญหาของเพื่อนบางคนอาจช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้นและมองเห็นความเครียดเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องพบเจอ
- ปรับพฤติกรรม หากพบว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด ควรหาทางแก้ไข ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง หรือหาทางปรับความเข้าใจกับคนที่ทำให้เกิดความเครียด รวมทั้งไม่ควรกดดันตัวเอง หรือไม่ควรรับปากที่จะทำอะไรให้ผู้อื่นหากเป็นสิ่งที่เกินความสามารถของตนเอง
ต่อสู้กับภาวะซึมเศร้า
ภาวะซึมเศร้า คือ ความผิดปกติทางอารมณ์แบบหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยมักรู้สึกเศร้า ไร้ค่า หมดหวัง หรือขาดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ นอกเหนือจากการไปพบคุณหมอเพื่อขอรับการรักษาและรับยามากิน ผู้มีภาวะซึมเศร้า อาจสามารถปฏิบัติตัวดังนี้
- มีตารางชีวิตที่ชัดเจน เนื่องจากภาวะซึมเศร้าอาจมีผลต่อการนอน รวมถึงกิจวัตรประจำวันแต่เดิม การมีตารางชีวิตที่ชัดเจนจะช่วยให้ชีวิตประจำวันของผู้มีภาวะซึมเศร้ายังดำเนินไปได้อย่างเป็นระบบ
- เลือกรับประทานอาหาร ในบางกรณี ผู้มีภาวะโรคซึมเศร้ามักเลือกรับประทานอาหารปริมาณมากเพื่อให้ตัวเองมีความสุข แต่จริง ๆ แล้วควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่างผักใบเขียวหรือผลไม้ เพราะหากตกอยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน อาจยิ่งทำให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้ามากขึ้น
- ท้าทายความคิดแง่ลบ บ่อยครั้งที่ผู้มีภาวะซึมเศร้ามักมีความคิดว่าตัวเองไร้ค่า ในการรับมือกับความคิดเช่นนี้ ผู้ที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าอาจลองถามตัวเองว่าจริงหรือเปล่า หรือมีอะไรเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าตัวเองไร้ค่า อย่าปล่อยให้ตนเองคิดเลื่อนลอยและฟุ้งซ่านโดยไม่มีเหตุผลประกอบ และลองถามตัวเองว่า ตนเองทำอะไรได้ดี มีความสามารถด้านใด เพื่อฝึกตนเองในการมองให้ชีวิตมีค่ามากขึ้น
- หาอะไรใหม่ ๆ ทำ การรู้สึกหมดความสนุกกับสิ่งรอบตัวเป็นอาการหนึ่งของภาวะซึมเศร้า ผู้มีภาวะซึมเศร้าอาจลองหาอะไรใหม่ ๆ ทำ เพราะอาจเปิดโลกใหม่ ๆ ทำให้อารมณ์ดีขึ้น และดึงความสนใจออกไปจากการครุ่นคิดถึงแต่ภาวะซึมเศร้าของตนเอง หากไม่สามารถทำได้ ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อเข้ารับการบำบัดต่อไป
การเข้าสังคมและรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
การเข้าสังคม เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพ เนื่องจากความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนหรือคนรอบตัว สามารถสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้ เพราะการได้รับการยอมรับจากผู้อื่นจะช่วยส่งเสริมความมั่นใจและทำให้รู้สึกว่าตนเองเป็นที่รักและเป็นที่ต้องการ เพิ่มคุณค่าในตัวเอง ในขณะเดียวกันการเข้าสังคมทำให้มีคนคอยรับฟังปัญหาต่าง ๆ ซึ่งอาจช่วยลดความเครียดหรือคลายความไม่สบายใจลงไปการเข้าสังคมและรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบตัวอาจดีขึ้น หากปฏิบัติดังนี้
- ไม่คาดหวังมากเกินไป ในการเข้าสังคม ควรยอมรับความเป็นตัวตนของคนอื่น เคารพสิ่งที่อีกฝ่ายคิดหรือแสดงออก และไม่คาดหวังจากอีกฝ่ายมากเกินไป เพราะหากคาดหวังสูง เมื่อผิดหวังจะรู้สึกเสียใจและยากที่จัดการกับความรู้สึก
- เป็นผู้ฟังที่ดีในการสนทนา โดยฟังอย่างตั้งใจ สบตาผู้พูดเป็นระยะ ไม่พูดแทรกเมื่อคู่สนทนาพูด และถามคำถามต่าง ๆ เพื่อให้เห็นว่าตัวเองสนใจเรื่องที่คู่สนทนาพูดจริง ๆ ฟังด้วยความเข้าใจและไม่ตัดสินผู้อื่น
- ยอมรับการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ และไม่มีสิ่งใดคงทนถาวรตลอดไป การยืดหยุ่นหรือยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นจะช่วยให้จัดการกับความรู้สึกของตนเองได้ เช่น การเลือกเดินออกจากชีวิตของใครบางคน
- ไม่ลืมที่จะรักตัวเอง ความสัมพันธ์เป็นเรื่องระหว่างบุคคล ไม่ใช่เรื่องของเรื่องของใครคนหนึ่ง ในการรักษาความสัมพันธ์ อาจต้องนึกถึงจิตใจของผู้อื่น แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักตัวเอง ควรนึกถึงความรู้สึกหรือความต้องการของตัวเองด้วยเช่นกัน
- รู้จักรับมือเมื่อไม่ลงรอยกัน การทะเลาะกันหรือคิดต่างเป็นเรื่องปกติของความสัมพันธ์ และเพื่อรักษาความสัมพันธ์ ทั้ง 2 ฝ่ายควรรับมือกับความไม่ลงรอยกันอย่างชาญฉลาด เช่น แลกเปลี่ยนปัญหาอย่างตรงไปตรงมา รู้จักควบคุมอารมณ์ไม่ให้สุดโต่งด้านใดด้านหนึ่ง ยอมรับความผิดพลาด ประนีประนอม เจอกันตรงกลาง และไม่ถือทิฐิหากต้องกล่าวขอโทษก่อน
- ใช้โซเชียลมีเดียอย่างฉลาด ปัจจุบัน โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือรักษาสร้างความสัมพันธ์และการแสดงออก การเลือกแสดงออกด้านบวกบนโซเชียลมีเดียมีส่วนให้คนอยากเข้าหาหรือสร้างความสัมพันธ์ด้วย ขณะที่การเลือกแสดงออกด้านลบออกบนโซเชียลมีเดียบ่อย ๆ อาจทำให้คนรู้จักเลือกลบความเป็นเพื่อนแทน แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ควรที่จะรักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้เช่นกัน
- คิดก่อนพูดหรือโพสต์ ไม่ว่าในชีวิตจริงหรือในโลกออนไลน์ ควรไตร่ตรองก่อนพูดหรือโพสต์ เพื่อป้องกันคู่สนทนาหรือคนใกล้ตัวเสียความรู้สึกหรืออาจไปกระทบความสัมพันธ์ให้แย่ลง