ภาวะตัวเหลืองเป็นภาวะมักพบในทารกแรกเกิด และเมื่อลูกเกิดมาตัวเหลือง คุณพ่อคุณแม่ก็อาจสงสัยว่า ตัวเหลืองเกิดจากอะไร สาเหตุที่พบบ่อยของภาวะตัวเหลือง คือ ร่างกายของทารกมีบิลิรูบิน (Bilirubin) ซึ่งเป็นสารสีเหลืองในกระแสเลือดมากเกินไป ส่งผลให้ผิวหนังของทารกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มักเกิดขึ้นหลังคลอด 2-3 วัน และอาจหายไปเองภายใน 10-14 วันหลังคลอด การรักษาเบื้องต้นทำได้ด้วยการให้ทารกดูดนมแม่บ่อยขึ้นเพื่อให้ถ่ายบิลิรูบินส่วนเกินออกไปทางอุจจาระ แต่หากมีระดับบิลิรูบินสูงมาก อาจต้องรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การส่องไฟ การถ่ายเลือด การให้ของเหลวทางหลอดเลือดดำ
[embed-health-tool-vaccination-tool]
ตัวเหลืองเกิดจากอะไร
ภาวะตัวเหลือง หรือ ดีซ่าน (Jaundice) มีสาเหตุมาจากทารกมีระดับบิลิรูบินในกระแสเลือดมากเกินไป สารชนิดนี้เป็นสารสีเหลืองที่เกิดจากกระบวนการสลายตัวของเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ร่างกายจะขับออกทางอุจจาระ แต่เมื่อใดที่ตับไม่สามารถขับบิลิรูบินออกได้ทัน จะทำให้มีบิลิรูบินสะสมอยู่ในเลือด ส่งผลให้ผิวหนังและลูกตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง โดยเริ่มจากบริเวณใบหน้า ก่อนจะกระจายไปทั่วร่างกาย จนเป็นภาวะตัวเหลือง
ภาวะตัวเหลืองเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในทารก โดยเฉพาะทารกที่คลอดก่อนกำหนดหรือคลอดก่อนอายุครรภ์ครบ 38 สัปดาห์ มักเกิดจากตับของทารกยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์นัก ประสิทธิภาพในการกำจัดบิลิรูบินในกระแสเลือดจึงยังไม่มากพอ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น พันธุกรรม คุณแม่มีเลือดกรุ๊ปโอหรืออาร์เอชลบ สารบางชนิดในน้ำนมแม่ (Breast milk jaundice) การบาดเจ็บขณะคลอด การติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD ความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือดแดงของทารกที่ทำให้เซลล์สลายตัวอย่างรวดเร็ว
อาการตัวเหลืองเป็นอย่างไร
ภาวะตัวเหลือง อาจทำให้ทารกมีอาการดังต่อไปนี้
- ผิวหนังที่ใบหน้าและศีรษะเป็นสีเหลือง
- ผิวหนังบริเวณท้อง แขน หรือขาของทารกเป็นสีเหลือง
- ลูกตาเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเหลือง
- เซื่องซึม ไม่กินนมแม่ น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้น
- ถ่ายอุจจาระสีซีดหรือถ่ายปัสสาวะสีเข้ม
ภาวะแทรกซ้อนของภาวะตัวเหลือง
ภาวะตัวเหลืองที่รุนแรงอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เรียกว่าเคอร์นิกเทอรัส (Kernicterus) ที่เกิดจากบิลิรูบินเดินทางผ่านเนื้อเยื่อชั้นบาง ๆ ที่กั้นระหว่างสมองและเลือด แล้วเข้าไปจับตัวกับเนื้อสมอง บิลิรูบินเป็นพิษต่อเซลล์สมอง จึงอาจทำลายสมองได้ ทั้งยังอาจทำลายไขสันหลังและระบบประสาทส่วนกลางด้วย ทารกที่มีภาวะตัวเหลืองอาจเสี่ยงเกิดภาวะนี้หากมีระดับบิลิรูบินในกระแสเลือดสูงมาก หรือสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที
อาการที่เป็นสัญญาณของภาวะเคอร์นิกเทอรัส เช่น
- ไม่ยอมกินนมตามปกติ
- มีอาการหงุดหงิด งอแงหนัก
- ร้องไห้เสียงแหลมสูง
- ตื่นยาก มีท่าทางกระสับกระส่าย
- ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองหรือไม่แสดงท่าทีตกใจเมื่อได้ยินเสียงดังหรือเห็นการเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว
- มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA)
- ตัวอ่อนปวกเปียก
- มีอาการชัก
- กล้ามเนื้อกระตุกหรือเกร็งจนหลังแอ่น คอเอียง
หากความเสียหายลุกลามมาก อาจทำให้ร่างกายเสียหายในระยะยาว เช่น ภาวะสมองพิการ (Cerebral palsy) การสูญเสียการได้ยิน การเคลื่อนไหวของดวงตาผิดปกติ ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ พัฒนาการของฟันผิดปกติ
ตัวเหลือง แก้ยังไง
การรักษาภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิดขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและสาเหตุที่ทำให้ตัวเหลือง โดยทั่วไปแล้วภาวะนี้มักหายไปเองภายใน 10-14 วันหลังคลอดโดยไม่ต้องรับการรักษาใด ๆ คุณหมออาจแนะนำให้คุณแม่ให้นมทารกบ่อยขึ้น อย่างน้อย 8-12 ครั้ง/วัน เพื่อให้ทารกถ่ายอุจจาระและบิลิรูบินออกจากร่างกายได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ภาวะตัวเหลืองหายไปในที่สุด แต่หากภาวะตัวเหลืองยังไม่ดีขึ้นหรือทารกมีระดับบิลิรูบินเพิ่มสูงจนขับได้ไม่ทัน อาจต้องใช้วิธีรักษาอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
- การส่องไฟ (Phototherapy) เป็นการรักษาภาวะตัวเหลืองที่มีระดับบิลิรูบินสูงด้วยการส่องแสงสีฟ้าไปที่ตัวของทารกที่นอนอยู่บนเตียงหรือในตู้อบทารกแรกเกิดที่มีฝาครอบมิดชิดเพื่อช่วยรักษาอุณหภูมิให้คงที่ โดยทารกจะสวมเพียงผ้าอ้อมเพื่อให้แสงส่องได้ทั่วถึง และสวมผ้าปิดตากันแสงเพื่อป้องกันแสงทำลายดวงตา
- การให้อิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดดำ (Intravenous immunoglobulin หรือ IVIg) เป็นวิธีการรักษาเมื่อชนิดของเม็ดเลือดของมารดาและลูกเป็นคนละชนิดกัน โดยมารดาสร้างแอนติบอดีมาต่อต้านและทำลายเม็ดเลือดของลูก เมื่อให้ IVIg จะไปช่วยเพื่อเจือจางแอนติบอดีดังกล่าว
- การเปลี่ยนถ่ายเลือด (Exchange transfusion) ใช้เมื่อทารกไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น และมีอาการตัวเหลืองถึงขั้นวิกฤติ การถ่ายเลือดจะช่วยลดระดับบินลิรูบินในเลือดและเจือจางแอนติบอดีของคุณแม่ที่อยู่ในเลือดทารกได้อย่างรวดเร็ว