ทารก โดยเฉพาะในวัยแรกเกิดมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ และอาจมีปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติและพฤติกรรมบางประการที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลใจ เช่น ตาเขเป็นครั้งคราว หยุดหายใจเป็นช่วง ๆ คุณพ่อคุณแม่จึงควรหมั่นศึกษาพฤติกรรมทั่วไปของทารก เช่น การนอนหลับ การหายใจ การมองเห็น เพื่อให้ทราบว่าพฤติกรรมใดที่เป็นปกติ และพฤติกรรมใดที่อาจเป็นสัญญาณความผิดปกติของทารก หากพบว่าทารกอาจมีพฤติกรรม หรือพัฒนาการผิดปกติ จะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงที
พฤติกรรมทั่วไปของทารก
พฤติกรรมทั่วไปของทารก อาจมีดังนี้
การนอนหลับ
ทารกมักนอนหลับประมาณ 20 ชั่วโมงต่อวัน โดยจะนอนหลับรอบละ 20 นาที ถึง 4 ชั่วโมง และเนื่องจากกระเพาะอาหารทารกยังมีขนาดเล็ก จึงมักต้องตื่นขึ้นมากินนมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง เมื่ออายุได้ 3 เดือน ทารกอาจหลับได้นานถึง 6-8 ชั่วโมงในตอนกลางคืน และทารกแต่ละคนอาจมีพฤติกรรมการนอนไม่เหมือนกัน เช่น ทารกบางคนตื่นมาในช่วงกลางดึกประมาณ 3-4 ครั้ง ในขณะที่ทารกบางคนสามารถหลับได้ตลอดคืน นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจประสบปัญหาทารกนอนหลับยากและพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งอาจแก้ไขได้ด้วยการให้ทารกอาบน้ำอุ่น ให้ทารกดูดจุกนมหลอก ร้องเพลงกล่อมนอน เป็นต้น
การมองเห็น
ในช่วงหลังคลอด ทารกอาจมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน บางคนอาจมีอาการตาเข ซึ่งเป็นเรื่องปกติในทารกที่การเคลื่อนไหวของดวงตายังไม่พัฒนาเต็มที่ อาการนี้สามารถหายเองได้ในเวลาไม่นาน โดยทั่วไป เมื่ออายุได้ 2-3 เดือน ทารกจะสามารถขยับลูกตาไปมาและโฟกัสสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น มองหน้าคุณพ่อคุณแม่ได้นานขึ้น มองตามสิ่งของที่มีการเคลื่อนไหวได้
การได้ยินเสียง
สำหรับทารก ภาษาเปรียบเหมือนเสียงดนตรีที่มีโทนและจังหวะแตกต่างกันไป ทารกสามารถแยกแยะเสียงและจดจำเสียงของคนคุ้นเคยได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรพูดคุยกับทารก หรืออ่านนิทานให้ฟังบ่อย ๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ลูกจะจำได้ว่าเป็นเสียงของคนที่ใกล้ชิดและรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ด้วย อีกทั้งยังอาจช่วยพัฒนาทักษะด้านการฟัง ภาษา และการสื่อสารให้ทารกได้ด้วย
การร้องไห้
ทารกร้องไห้หลายครั้งในแต่ละวัน ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุแตกต่างกันไป เช่น หิว เหนื่อย ต้องการให้กอดปลอบ ร้อนหรือหนาวเกินไป รู้สึกกลัว รู้สึกป่วย รู้สึกไม่สบายตัวและต้องการเปลี่ยนผ้าอ้อม เนื่องจากทารกยังสื่อสารด้วยคำพูดไม่ได้ จึงมักใช้การร้องไห้เป็นวิธีสื่อสารให้ผู้อื่นรับรู้ถึงความต้องการของตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนิ่งเฉยเมื่อทารกร้องไห้ เพราะหากเกิดจากปัญหาสุขภาพ จะได้แก้ไขได้อย่างทันท่วงที
การหายใจ
บางครั้งทารกอาจมีวงจรการหายใจที่ดูไม่ปกติและทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวล เช่น การหยุดหายใจเป็นพัก ๆ ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมทั่วไปของทารก ทารกมักมีสูดหายใจลึกและหายใจถี่ ก่อนจะค่อย ๆ หายใจช้าลง แล้วหยุดหายใจเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วินาที แล้วจึงหายใจเข้าอีกครั้ง
การส่งเสียง
ทารกมักส่งเสียงต่าง ๆ เช่น เสียงพูดอ้อแอ้ที่ไม่มีความหมาย เสียงหาว เสียงจาม เสียงสะอึกเมื่อกระเพาะอาหารขยายตัวหลังกินนม เสียงเรอเบา ๆ เสียงกรนเมื่อหลับลึก เสียงหวีดเบา ๆ ขณะหายใจ เนื่องจากทารกมีช่องจมูกที่แคบจึงทำให้เกิดเสียงแบบนี้ได้ และในบางครั้ง ทารกอาจเลียนแบบการออกเสียงของผู้ใหญ่ด้วย
การเคลื่อนไหว
ในช่วงสัปดาห์แรก ๆ หลังคลอด ทารกอาจแสดงท่าทางคล้ายกับตอนอยู่ในครรภ์ โดยจะกำมือเข้าด้วยกัน แล้วเอียงข้อศอก สะโพก เข่า แขนและขาไปทางด้านหน้าของร่างกาย อาการนี้จะหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน
ปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติ
ปฏิกิริยาตอบสนองของทารกที่พบได้ทั่วไป เช่น
- ปฏิกิริยาการค้นหา (Rooting reflex) ทารกจะพยายามหันหน้าไปตามทิศทางที่คิดว่ามีอาหาร เช่น หากสัมผัสแก้มของทารก ทารกจะหันมาพยายามดูดนิ้วมือ เพราะคิดว่าเป็นเต้านมของคุณแม่
- ปฏิกิริยาการดูด (Sucking reflex) หากนำของเล่นหรือนิ้วเข้าไปใกล้หน้าทารก ทารกจะพยายามคว้าของสิ่งนั้นไปดูด
- ปฏิกิริยาเมื่อตกใจ (Startle response) เมื่อได้ยินเสียงดังหรือตกใจ ทารกจะเกร็งตัวแล้วยกแขนและขาขึ้นโดยอัตโนมัติ พร้อมแบมืออก ก่อนจะกลับไปอยู่ในท่างอแขนขาอีกครั้ง
- ปฏิกิริยาของคอ (Tonic neck reflex) ขณะนอนหงาย ทารกจะหันศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่ง พร้อมเหยียดแขนข้างหนึ่งไปทางเดียวกัน
- ปฏิกิริยาการกำมือ (Grasp reflex) เมื่อวางของบนฝ่ามือ ทารกจะกำมืออัตโนมัติ
- ปฏิกิริยาการก้าว (Stepping reflex) เมื่ออุ้มทารกขึ้นและให้เท้าสัมผัสกับพื้นแข็ง ทารกจะทำท่าเหยียดขา และขยับเหมือนกับกำลังเดินอยู่ แม้ว่าจะยังทรงตัวไม่ได้
พฤติกรรมทารกที่ผิดปกติ
หากทารกมีพฤติกรรมหรือภาวะผิดปกติเหล่านี้ ควรพาไปพบคุณหมอทันที เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง
- หายใจเข้า-ออกลึกจนเห็นกระดูกซี่โครงเคลื่อนขึ้น-ลงชัดเจน
- หยุดหายใจนานกว่า 10 วินาที หรือหยุดหายใจไปเลย
- มีปัญหาในการนอนหลับ เช่น นอนยากขึ้น ไม่ยอมเข้านอนในตอนกลางคืน ไม่นอนกลางวัน
- ทารกอายุ 2 สัปดาห์แล้ว แต่ไม่มองตามสิ่งของที่เคลื่อนไหวได้ หรือไม่จ้องหน้าคุณพ่อคุณแม่แม้จะอยู่ตรงหน้า คล้ายกับมองเห็นไม่ชัด
- ตาบวมแดง มีเมือกในตา อาจเกิดจากการติดเชื้อที่ตา
- เป็นไข้ มีอุณหภูมิร่างกายเกิน 38 องศาเซลเซียส
- มีภาวะขาดน้ำ เช่น ร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ถ่ายปัสสาวะน้อย ปากแห้งแตก เบ้าตาดูลึกโหล
- ถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป หรือถ่ายเป็นเลือด
- ไอเรื้อรังหรือไอเสียงแหลมสูง อาจเป็นสัญญาณของภาวะทางเดินหายใจอักเสบ
- อาเจียนออกมาภายใน 8 ชั่วโมงหลังกินนม
[embed-health-tool-vaccination-tool]