ปัญหาภูมิคุ้มกันในทารกคลอดก่อนกำหนด เป็นภาวะแทรกซ้อนชนิดหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในทารกที่คลอดก่อนกำหนด และอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อสุขภาพทารกในระยะยาวได้
[embed-health-tool-due-date]
การคลอดก่อนกำหนดคืออะไร
การคลอดก่อนกำหนด คือ ทารกคลอดก่อนกำหนดจริงประมาณ 3 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้น ซึ่งทารกที่คลอดกำหนดหลายคนอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา ยิ่งทารกคลอดก่อนกำหนดเร็วเท่าใด ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนมากขึ้นเท่านั้นด้วยเช่นกัน และหนึ่งในนั้นคือ ปัญหาภูมิคุ้มกันในทารกคลอดก่อนกำหนด ที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อย
ระบบภูมิคุ้มกันในทารก
ระบบภูมิคุ้มกันประกอบไปด้วย เซลล์ โปรตีน เนื้อเยื่อ และอวัยวะที่ป้องกันการติดเชื้อ เมื่อเวลาผ่านไประบบภูมิคุ้มกันได้สัมผัสกับแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อราต่าง ๆ จากภายนอกเข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะพัฒนาแอนติบอดี (โปรตีนที่มีความสามารถในการกำจัดเชื้อโรค) เพื่อปกป้องร่างกายจากสิ่งที่บุรุกเข้ามาและพัฒนาเป็นภูมิคุ้มกันเชื้อนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น เด็กที่เป็นโรคอีสุกอีใส หลังจากการติดเชื้อครั้งแรกระบบภูมิคุ้มกันจะพัฒนาแอนติบอดีและสร้างภูมิคุ้มกัน หากในอนาคตได้สัมผัสกับไวรัสตัวเดิมเด็กจะไม่เป็นอีสุกอีใสอีก
โดยปกติทารกในครรภ์จะได้รับแอนติบอดีจากการผลิตแอนติบอดีของแม่ผ่านทางรกในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ทำให้ทารกมีภูมิต้านทานโรคตั้งแต่แรกเกิด แต่สำหรับทารกที่คลอดก่อนกำหนดอาจยังไม่ได้รับแอนติบอดีจากแม่อย่างเพียงพอ จึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงและเสี่ยงต่อการติดเชื้อเมื่ออยู่นอกมดลูก นอกจากนี้ทารกที่คลอดก่อนกำหนดอาจมีปัญหาในการผลิตเซลล์และโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว และแอนติบอดี ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ทารกมีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องได้
การติดเชื้อในทารก
ปัญหาภูมิคุ้มกันในทารกคลอดก่อนกำหนด เป็นปัญหาที่ทารกคลอดก่อนกำหนดมักมีระดับของแอนติบอดีต่ำ ซึ่งเป็นโปรตีนในเลือดที่ทำหน้าเป็นระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด ทารกจะได้รับแอนติบอดีจากแม่ผ่านทางรกแต่สำหรับทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะได้รับแอนติบอดีที่น้อยกว่า ทำให้ทารกมีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อหลังคลอดสูง โดยเฉพาะการติดเชื้อในเลือด หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อีกทั้งการใช้อุปกรณ์ในการรักษาทารกคลอดก่อนกำหนด อย่างเช่น เครื่องช่วยหายใจ สายสวนในหลอดเลือด จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียที่ร้ายแรงได้
ภาวะติดเชื้อระยะเริ้มต้น
ทารกสามารถติดเชื้อในระยะเริ้มต้นได้หากทารกได้มีการสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรียบางชนิดระหว่างคลอด ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
- เยื้อหุ้มทารกแตกก่อนกำหนด (น้ำเดินก่อนกำหนด)
- การติดเชื้อในมารดา เช่น การติดเชื้อภายในมดลูกและมีภาวะน้ำคร่ำอักเสบ (Chorioamnionitis)
- การติดเชื้อสเตรปโทคอกคัสในช่องคลอดมารดา (group B streptococcus : GBS)
- การคลอดก่อนกำหนด
แบคทีเรียทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในทารกแรกเกิดที่พบบ่อยที่สุด คือ Escherichia coli และ GBS ซึ่งทารกสามารถติดเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ระหว่างผ่านช่องคลอด ดังนั้นการตรวจคัดกรองก่อนคลอดจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากพบว่ามารดามีการติดเชื้อ GBS แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาในขั้นตอนต่อไป
ภาวะติดเชื้อในระยะหลัง
ทารกแรกเกิดสามารถติดเชื้อระยะหลังได้หากมีการสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในโรงพยาบาล ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
- คลอดก่อนกำหนด
- การใช้สายสวนในเลือดแดง หลอดเลือดดำ หรือการสวนกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลานาน
- การใช้เครื่องช่วยหายใจที่สอดเข้าไปในจมูกหรือปากของทารกแรกเกิด
- การรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน
อาการของภาวะติดเชื้อในทารก
อาการที่อาจบอกว่าทารกติดเชื้อในกระแสเลือด ดังนี้
- อุณหภูมิร่างกายไม่คงที่
- มีไข้
- ภาวะหายใจลำบาก
- หยุดหายใจขณะหลับ
- สีผิวซีด
- การไหลเวียนเลือดไม่ดี
- แขนขาเย็น
- ท้องบวม
- อาเจียน ท้องเสีย อาการชัก
- โรคดีซ่าน
- โรคปอดบวม
- ทารกไม่สามารถย่อยน้ำนมแม่ได้ / ดูดนมได้น้อยลง
ทั้งหมดนี้คืออาการที่อาจบอกว่าทารกมีภาวะติดเชื้อ แต่ในทารกบางคนอาจมีอาการอื่น ๆ ที่แตกต่างออกไป ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อที่ส่งผลต่ออาการของทารกด้วย
หมายเหตุ กรณีทารกคลอดก่อนกำหนด ต้องได้รับการวินิจฉัยและตรวจรักษาอย่างละเอียดจากกุมารแพทย์ จึงแนะนำให้ปรึกษากุมารแพทย์เจ้าของไข้ถึงแนวทางการดูแลรักษา ซึ่งแต่ละรายอาจแตกต่างกันไปตามอายุครรภ์และความรุนแรงของโรค