การเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญเพื่อช่วยเพิ่มทักษะการคิดวิเคราะห์ ได้รับความรู้เรื่องราวใหม่ ๆ แต่หากคุณพ่อคุณแม่ให้ลูกใช้เวลาการเรียนรู้ที่มากจนเกินไป ก็อาจส่งผลให้เด็กเครียด รู้สึกกดดัน และไม่ชอบการเรียนรู้อีกต่อไป ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาว่า เด็กควรเรียนกี่ชั่วโมง และมีความสนใจในด้านใด ชอบศึกษาเรื่องใด เพื่อช่วยให้ลูกมีความสุขในการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เด็กควรเรียนกี่โมงชั่วโมง
เมื่อลูกถึงช่วงวัยเรียน สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ คือ การศึกษาหาโรงเรียนที่เหมาะสม สอบถามรายละเอียด วันเวลาเข้าเรียน เลิกเรียน พักกลางวัน เพื่อจะได้คำนวณเวลาให้ลูกได้รับชั่วโมงเรียนอย่างเหมาะสม
สำหรับการใช้เวลาเรียนอยู่ในโรงเรียน ในเด็กช่วงวัยอนุบาลจนถึงช่วงชั้นประถม อาจใช้เวลาเรียนไม่เกินกว่า 4 ชั่วโมง/วัน สำหรับเด็กวัยมัธยมอาจใช้เวลาเรียนไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง นอกจากนี้ ไม่ควรให้เด็กกลับบ้านเกิน 5 โมงเย็น เพื่อให้ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวมากขึ้นและอาจใช้เวลานอนพักผ่อนได้อย่างเพียงพอ เพราะหากเพิ่มเวลาเรียนมากขึ้น เช่น การเรียนพิเศษนอกเวลา อาจทำให้เด็กไม่สามารถรับมือกับความเครียดได้
วิธีช่วยให้ลูกเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีช่วยให้ลูกเพลิดเพลินกับการเรียน อาจทำได้ดังนี้
- ศึกษาและสำรวจดูสภาพแวดล้อมของสถานที่ที่ลูกเรียน
ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือสถาบันสอนพิเศษ คุณพ่อคุณแม่ควรเข้าไปดูสถานที่ที่จะพาลูกเข้าเรียนด้วยตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่าลูกจะเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งบริเวณห้องเรียนไม่ควรมีสิ่งดึงดูดความสนใจ เช่น หนังสือการ์ตูน วิดีโอเกมส์ นอกจากนี้ อาจต้องมีโต๊ะที่นั่งเรียนได้สบาย วางอุปกรณ์การเรียนได้ครบ รวมถึงทิศทางการวางโต๊ะควรมีแสงเพียงพอ
- ทำให้เด็ก ๆ สนุกกับการเรียนรู้
คุณพ่อคุณแม่อาจฝึกทักษะให้ลูกด้วยการทำกิจกรรมที่ลูกชอบ และพูดคุยกับสิ่งที่พบเห็นหรือป้อนข้อมูลใหม่ ๆ ให้เด็กจดจำ เช่น หากไปสวนอาจพูดคุยถึงสีดอกไม้ พันธุ์ดอกไม้ เล่าการเจริญเติบโตของดอกไม้ว่ากว่าจะกลายมาเป็นดอกไม้ที่สวยงามมีกระบวนการอย่างไร
หากอยู่ในช่วงเวลาสอนเด็กทำการบ้าน ควรปิดทีวี ให้เด็กอยู่ห่างจากโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และสอนการบ้านพร้อมอธิบายเมื่อลูกไม่เข้าใจ หากลูกตอบถูกอาจให้รางวัลเป็นการหอม โอบกอด ลูบหัว แสดงความรัก พูดชมเชยให้กำลังใจ หรือให้ขนม เพื่อให้เด็กไม่รู้สึกเบื่อที่จะทำการบ้าน
- ฝึกทักษะใหม่ ๆ ให้เด็กตลอดเวลา
การเรียนรู้ไม่ใช่แค่นำไปเพื่อสอบในห้องเรียนเท่านั้น แต่คุณพ่อคุณแม่อาจเพิ่มเติมความรู้ใหม่ ๆ รอบตัวทั่วไปที่ลูกอาจสนใจ เพื่อเป็นทักษะติดตัวให้ลูกในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร การปลูกต้นไม้ ดนตรี กีฬา การทำงานอดิเรกและกิจกรรมเหล่านี้ อาจเป็นวิธีการผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนตามหลักวิชาการในห้องเรียนได้ด้วย
[embed-health-tool-vaccination-tool]