ไวรัสตับอักเสบ คือ เชื้อโรคชนิดหนึ่งที่ส่งผลต่อการทำงานของตับโดยเฉพาะ และเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักของการเป็นมะเร็งตับ ตัวโรคอาจเกิดขึ้นได้จากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป รวมถึงเกิดจากภาวะระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานต่ำ รวมทั้งมีพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
พฤติกรรมเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ต่อไปนี้คือพฤติกรรมที่เพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
- ใช้ยาโดยการฉีดเข้าหลอดเลือดดำ รวมถึงการใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น ก็จะทำให้สัมผัสกับเลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบได้
- การติดเชื้อ HIV คนเราสามารถติดเชื้อ HIV ได้ผ่านการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หรือเป็นการรับเลือดที่มีการติดเชื้อเข้าสู่ร่างกาย รวมถึงการมีกิจกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย ก็ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยเป็นตับอักเสบเพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การรับของเหลวใดๆก็ตามเข้าสู่ร่างกายคือความเสี่ยงสูงสุด ไม่ใช่เพียงเพราะมีเชื้อ HIV
- การสัก การเจาะร่างกาย และการใช้เข็มกับร่างกายชนิดอื่นๆ หากคุณกำลังคิดจะไปสัก เจาะร่างกาย หรือแม้แต่ไปฝังเข็ม หากพบเจอร้านที่ไม่ได้ใช้เข็มใหม่หรือสะอาดสำหรับลูกค้าทุกคน ดังนั้น ก็มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่คุณจะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ รวมถึงโรคติดต่อร้ายแรงที่มากับเลือด เช่น HIV
- มีกิจกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย (ทั้งทางทวารหนักและปาก) ถึงแม้ว่าไวรัสตับอักเสบเอและอี จะเป็นชนิดที่สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการทานอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อน แต่กิจกรรมทางเพศทั้งทางทวารหนักและปาก ก็อาจแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบได้เช่นกัน
- อยู่ร่วมอาศัยกับคนที่ป่วยเป็นติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
- มีอาชีพเป็นผู้ดูแลด้านสุขภาพ โดยอาชีพนี้มีปัจจัยเสี่ยงจากการสัมผัสเลือดคนไข้ รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เข็มฉีดยา เป็นต้น
- การเดินทางไปต่างประเทศ ก็มีความเสี่ยงต่อการดื่มน้ำที่ไม่สะอาด ซึ่งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบได้
โรคตับอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากไวรัส
โรคตับอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์
ตับอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อดื่มแอลกอฮอล์มากเกินพอดี อย่างไรก็ตาม กลไกที่แท้จริงของการทำลายตับชนิดนี้ยังคงไม่มีใครทราบสาเหตุที่แน่ชัด แอลกอฮอล์เป็นสาเหตุทำให้ตับบวมโตและเจ็บปวด แต่การรับประทานยาบางชนิดมากเกินไปหรือการรับพิษเข้าสู่ร่างกายก็อาจเป็นสาเหตุของโรคตับอักเสบได้เช่นกัน
ผลกระทบของแอลกอฮอล์ที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบ มีดังนี้
- ร่างกายจะดูดซับแอลกอฮอล์ จากนั้นจึงเปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้กลายเป็นสารอนุพันธุ์ที่มีความเป็นพิษสูง
- สารเคมีที่มาจากแอลกอฮอล์จะก่อให้เกิดการอักเสบ และทำลายเซลล์ตับ
- เมื่อเวลาผ่านไป เซลล์ตับที่ถูกทำลายจะกลายเป็นแผลซึ่งจะเข้าไปแทนที่เนื้อเยื่อตับที่แข็งแรง ทำให้ตับไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- โรคตับแข็ง คือระยะสุดท้ายของโรคตับที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่สามารถก่อให้เกิดโรคตับอักเสบจากการดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่
ถ้าผู้ป่วยตับอักเสบชนิดอื่นดื่มแอลกอฮอล์ แม้จะเป็นในจำนวนปานกลางก็ตาม อย่างเช่น ถ้าในผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซี ดื่มแอลกอฮอล์ ก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นโรคตับแข็ง และขาดสารอาหารได้ การขาดสารอาหารก่อให้เกิดการทำลายเซลล์ตับ โดยมักพบว่าผู้ป่วยที่ดื่มหนักหลายรายขาดสารอาหาร เนื่องจากทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ รวมถึงแอลกอฮอล์เข้าไปขัดขวางร่างกายไม่ให้ดูดซึมสารอาหารนั่นเอง
โรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเอง (autoimmune hepatitis)
ปกติแล้วระบบภูมิคุ้มกันร่างกายจะทำหน้าที่โจมตีไวรัส แบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่ก่อโรคชนิดอื่นๆ ในบางกรณี ก็เป็นไปได้ว่าระบบภูมิคุ้มกันจะโจมตีและทำอันตรายตับโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่งผลให้การทำงานของตับเสื่อมถอยลง การที่ภูมิคุ้มกันร่างกายกลับไปโจมตีเซลล์ตับนี้ ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และสร้างความเสียหายให้กับเซลล์ตับอย่างต่อเนื่อง โดยอาการเหล่านี้เรียกว่าโรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเอง
ปัจจุบัน แพทย์ได้แบ่งรูปแบบของโรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเองเป็น 2 ชนิด ดังนี้
- โรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเองชนิดที่ 1 เป็นชนิดที่พบได้ทั่วไป สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัย กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยโรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเองชนิดที่ 1 จะป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับภูมิต้านทานชนิดอื่นด้วย เช่น โรคเซลิแอค โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคลำไส้ใหญ่อักเสบชนิดเป็นแผล
- โรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเองชนิดที่ 2 ถึงแม้โรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเองชนิดที่ 2 จะเกิดขึ้นได้ในผู้ใหญ่ แต่กลับสามารถพบได้ทั่วไปในกลุ่มเด็กเล็กและคนหนุ่มสาว ผู้ป่วยในกลุ่มนี้อาจเป็นโรคเกี่ยวกับภูมิต้านทานชนิดอื่นด้วยเช่นกัน
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัย หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmr]