ขนาดถุงยางอนามัย เป็นเรื่องหนึ่งที่ผู้ชายควรให้ความสำคัญ เพราะหากใช้ขนาดเล็กหรือใหญ่เกินไป อาจปริแตกหรือหลุดออกระหว่างมีเพศสัมพันธ์ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์หรือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ โดยทั่วไป ขนาดของถุงยางอนามัยที่ผู้ชายไทยนิยมใช้ ได้แก่ ขนาด 49 และ 52 มิลลิเมตร
[embed-health-tool-bmi]
ถุงยางอนามัย มีประโยชน์อย่างไร
ถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ต้องมีใบอนุญาตในการผลิตหรือนำเข้า และต้องมีการตรวจสอบคุณภาพทุกรุ่นก่อนวางจำหน่ายในท้องตลาด มีลักษณะเป็นถุงขนาดเล็ก ทรงกระบอก ทำจากยางพาราหรือวัสดุสังเคราะห์ ใช้สวมองคชาตหรือสอดช่องคลอดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนองใน ซิฟิลิส หรือเอดส์ รวมถึงการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
ในประเทศไทย ถุงยางอนามัยมีด้วยกัน 3 ขนาด คือ 49, 52 และ 56 มิลลิเมตร โดยขนาด 49 และ 52 มิลลิเมตร เป็นขนาดที่เหมาะกับขนาดองคชาตของผู้ชายไทยมากที่สุด
ขณะเดียวกัน ความกว้างของถุงยางอนามัยจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือน้อยกว่า 1.75 นิ้ว ระหว่าง 1.75-2 นิ้ว และมากกว่า 2 นิ้ว และความกว้างจัดเป็นปัจจัยสำคัญอีกข้อในการเลือกซื้อถุงยางอนามัยของผู้ชาย
ทั้งนี้ ถุงยางอนามัยแบบสอดหรือถุงยางอนามัยผู้หญิงมีหนึ่งขนาดเท่านั้นและสามารถใช้ได้กับผู้หญิงทุกคน
ขนาดถุงยางอนามัย มีความสำคัญอย่างไร
สำหรับผู้ชาย การใช้ถุงยางอนามัยที่เล็กหรือใหญ่กว่าองคชาตอาจทำให้ถุงยางอนามัยเสี่ยงแตก ฉีก ขาด หรือหลุดเลื่อนออกขณะมีเพศสัมพันธ์ และส่งผลให้ประสิทธิภาพคุมกำเนิดและป้องกันโรคลดลง
วิธีสังเกตว่าสวมถุงยางอนามัยผิดขนาดหรือไม่ มีดังนี้
- ถุงยางอนามัยสั้นเกินไป ครอบลำขององคชาตได้ไม่หมด
- ถุงยางอนามัยหลวมเกินไป หรือไม่แนบกระชับกับองคชาต
- ถุงยางอนามัยหลุดเข้าไปในช่องคลอดหรือทวารหนักของคู่นอน
- ปลายถุงยางอนามัยห้อยจากปลายองคชาต
- ส่วนปลายของถุงยางอนามัยมีพื้นที่น้อยเกินไปสำหรับรองรับน้ำอสุจิที่หลั่งออกมาเมื่อถึงจุดสุดยอด
- ถุงยางอนามัยกองอยู่ตรงโคนองคชาตมากเกินไป
การวัดขนาดองคชาต ก่อนเลือกซื้อ ถุงยางอนามัย
หากต้องการทราบขนาดถุงยางอนามัยที่เหมาะสมกับตัวเอง ผู้ชายควรวัดความยาวและความกว้างขององคชาตก่อนตัดสินใจซื้อถุงยางอนามัยที่ร้านสะดวกซื้อหรือร้านขายยา
สำหรับวิธีการวัดความยาวและความกว้างขององคชาต สามารถทำเองได้ง่าย ๆ ดังนี้
ความยาว
- ใช้สายวัดหรือไม้บรรทัดวัดความยาวองคชาตจากโคนถึงปลาย เมื่อองคชาตแข็งตัวเต็มที่
ความกว้าง
- ใช้สายวัดวัดรอบลำองคชาตหรือส่วนที่หนาที่สุด เมื่อองคชาตแข็งตัวเต็มที่ เพื่อให้ได้เส้นรอบวงขององคชาต
- หารเส้นรอบวงด้วย 3.14
ถุงยางอนามัย ทำจากวัสดุประเภทใดบ้าง
นอกเหนือจาก ขนาดของถุงยางอนามัย วัสดุที่ใช้ทำถุงยางอนามัยนับว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกัน โดยวัสดุแต่ละชนิดนั้นมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน ดังต่อไปนี้
ยางพารา
ข้อดี
- หาซื้อได้ง่าย
- ราคาถูก
ข้อเสีย
- ทำให้ผู้ที่แพ้ยางมีอาการแพ้ได้
- ปริแตกได้เมื่อใช้กับเจลหล่อลื่นที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก
พอลิไอโซพรีน (Polyisoprene)
ข้อดี
- นุ่มและยืดหยุ่นเทียบเท่ากับถุงยางอนามัยที่ทำจากยางพารา
ข้อเสีย
- หนากว่าถุงยางอนามัยที่ทำจากยางพารา
- หาซื้อได้ยากกว่าถุงยางอนามัยที่ทำจากยางพารา
โพลียูรีเทน (Polyurethane)
ข้อดี
- บางกว่าถุงยางอนามัยที่ทำจากยางพารา
ข้อเสีย
- ยืดหยุ่นน้อยกว่าถุงยางอนามัยที่ทำจากยางพารา
- มีแนวโน้มที่จะหลวมหรือไม่กระชับกับองคชาต
- ฉีกขาดได้ง่าย หากเลือกสวมในขนาดที่ไม่เหมาะสม
- หาซื้อได้ยากกว่าถุงยางอนามัยที่ทำจากยางพารา