ใต้ตาดำ เป็นปัญหาผิวที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากโรค เช่น โรคภูมิแพ้ การขาดสารอาหาร หรืออาจเกิดจากพฤติกรรมบางประการ เช่น การขยี้ตาแรง ๆ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้อาจป้องกันและบรรเทาได้ด้วยวิธีลดรอยคล้ำใต้ตาที่เหมาะสม
[embed-health-tool-bmi]
สาเหตุที่ทำให้ ใต้ตาดำ
ใต้ตาดำ หรือรอยคล้ำใต้ตา เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากภาวะสุขภาพที่แก้ไขได้ยาก และจากปัจจัยภายนอกที่อาจป้องกันได้ เช่น
- โรคภูมิแพ้
- ผื่นแพ้ผิวหนังเรื้อรัง
- ผื่นแพ้สัมผัส
- ความเหนื่อยล้า
- การแพ้สารหรือละอองที่อยู่ในอากาศ
- พันธุกรรม
- ความผิดปกติของเม็ดสี
- แสงแดด
- ผิวบางและสูญเสียคอลลาเจนตามวัย
- การเกาหรือขยี้ตาแรง ๆ
ใต้ตาดำ ป้องกันได้อย่างไร
-
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน
การใช้ผลิตภัณฑ์รอบดวงตาเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากผิวรอบดวงตาเป็นผิวที่บอบบางมากและเสี่ยงเกิดอาการแพ้หรืออักเสบได้ง่ายกว่าผิวบริเวณอื่น จึงควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีความอ่อนโยนและผ่านการทดสอบแล้วว่าปลอดภัยกับผิวรอบดวงตา
-
ไม่เกาหรือขยี้ตาแรง ๆ
การเกาหรือขยี้ตาแรง ๆ จะทำให้ผิวรอบดวงตาช้ำ และอาจทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณนั้นได้รับผลกระทบ จนส่งผลให้ใต้ตาดำหรือเกิดรอยคล้ำใต้ตาได้ หรือในบางกรณีอาจทำให้ผิวหนังรอบดวงตาถลอกหรือเกิดแผลจนเสี่ยงติดเชื้อได้ด้วย
-
ประคบด้วยถุงชา
การนำถุงชาที่ชงแล้วไปแช่ในตู้เย็นประมาณ 2-3 นาที แล้วนำมาประคบที่บริเวณดวงตาประมาณ 5 นาทีเป็นประจำ อาจช่วยลดรอยคล้ำใต้ตาได้ เนื่องจากในชามีคาเฟอีน และแทนนีน (Tannin) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในผักและผลไม้รสฝาดที่อาจช่วยลดอาการบวม อีกทั้งยังช่วยให้เส้นเลือดใหญ่และเส้นเลือดฝอยหดตัว จึงอาจทำให้รอยคล้ำใต้ตาดูจางลงได้
-
รับประทานวิตามินซี
การรับประทานวิตามินซีช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจนและการไหลเวียนโลหิต เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น กระบวนการสร้างคอลลาเจนของร่างกายจะลดลง เมื่อผิวใต้ตาสูญเสียคอลลาเจน และร่างกายไม่สามารถผลิตคอลลาเจนมาทดแทนได้ดีเท่าที่ควร อาจทำให้ใต้ตาดำคล้ำได้ การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
-
สวมแว่นกันแดด
แสงแดดเป็นอีกหนึ่งตัวการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน จึงควรสวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันรังสียูวีเข้าไปทำร้ายผิวรอบดวงตา และอาจช่วยป้องกันใต้ตาดำคล้ำได้
-
พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยปกติคือ อย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมงจะช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง รวมถึงอาจช่วยรักษารอยคล้ำใต้ตาได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ควรนอนหลับให้สนิท ไม่นอนมากไปหรือน้อยเกินไป จึงจะเป็นผลดีต่อผิวใต้ดวงตาที่สุด
-
ตรวจสอบโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดรอยคล้ำใต้ตาได้ การทดสอบภูมิแพ้ที่ทำให้ทราบว่าตนเองเป็นโรคภูมิแพ้หรือไม่ และมีสารชนิดใดเป็นสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ที่อาจส่งผลให้ใต้ตาดำคล้ำได้ด้วย ปัจจุบันมีวิธีการทางการแพทย์สำหรับทดสอบภูมิแพ้มากมาย เช่น การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังด้วยการสะกิด การทดสอบภูมิแพ้โดยการฉีดสารเข้าใต้ผิวหนัง (เฉพาะทดสอบอาการแพ้ยา) การทดสอบภูมิแพ้โดยการเจาะเลือด การกระตุ้นโดยการใช้สารก่อภูมิแพ้ จึงควรปรึกษาคุณหมอ เพื่อหาวิธีทดสอบภูมิแพ้ที่เหมาะสมที่สุด
วิธีปกปิดรอยคล้ำใต้ตา
หากวิธีป้องกันและลดรอยคล้ำใต้ตาที่แนะนำข้างต้นให้ผลไม่เร็วทันใจ การแต่งหน้าก็อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยอำพรางหรือปกปิดรอยคล้ำใต้ตาได้ชั่วคราวหรือในช่วงเวลาจำเป็น โดยวิธีที่อาจช่วยปกปิดรอยคล้ำใต้ตาได้ คือการทาคอนซีลเลอร์ที่มีเฉดสีสว่างกว่าผิวประมาณ 1 เฉดสีที่บริเวณผิวใต้ตาและเกลี่ยให้เรียบเนียน วิธีนี้อาจช่วยให้รอยคล้ำดูจางลงได้
อย่างไรก็ตาม การปกปิดรอยคล้ำใต้ตาด้วยคอนซีลเลอร์หรือเครื่องสำอางอาจช่วยให้รอยคล้ำใต้ตาดูจางลงได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น การแก้ไขสาเหตุของรอยคล้ำใต้ตาหรือหาวิธีป้องกันด้วยการดูแลตนเอง จึงเป็นวิธีที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจช่วยลดเลือนและป้องกันใต้ตาดำคล้ำได้ดีและยาวนานกว่า