เลเซอร์หน้าใส เป็นการแก้ปัญหาผิวหน้าอย่างสิว จุดด่างดำ แผลเป็น และริ้วรอยแห่งวัยต่าง ๆ ด้วยการฉายแสงเลเซอร์ลงบนใบหน้า เพื่อกำจัดสิว ผลัดเซลล์ผิว และกระตุ้นการสร้างผิวใหม่ให้ผิวหน้าเรียบเนียนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การทำเลเซอร์หน้าใสอาจมีผลข้างเคียง ได้แก่ ใบหน้าบวม สีผิวเข้มขึ้นหรือจางลงเฉพาะจุด หรือเกิดการติดเชื้อ แม้เลเซอร์หน้าใสจะเป็นที่นิยม แต่อาจไม่เหมาะกับทุกคน ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์หน้าใส ได้แก่ ผู้ที่มีผิวเข้ม หญิงตั้งครรภ์ หญิงในระยะให้นมบุตร และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
[embed-health-tool-bmi]
เลเซอร์หน้าใส คืออะไร
เลเซอร์หน้าใส เป็นการฉายเลเซอร์ลงบนใบหน้า เพื่อแก้ปัญหาผิวหน้า เช่น จุดด่างดำ รอยเหี่ยวย่น แผลเป็น สิว ทำให้ใบหน้าดูกระจ่างใสหรือลดเลือนริ้วรอยให้ใบหน้าแลดูอ่อนกว่าวัย
ในกรณีของสิว การฉายแสงเลเซอร์จะช่วยลดการอักเสบหรือบวมแดงโดยทำให้สิวค่อย ๆ ยุบตัวลง นอกจากนี้ แสงเลเซอร์ยังมีคุณสมบัติกำจัดไขมันที่อุดตันในรูขุมขนรวมถึงฆ่าเชื้อแบคทีเรียพี แอคเน่ (P. Acne หรือ Propionibacterium Acne) ที่เป็นต้นเหตุของสิว
อย่างไรก็ตาม การทำเลเซอร์หน้าใสอาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน โดยผู้ที่ไม่ควรรักษาผิวหน้าด้วยเลเซอร์หน้าใส ได้แก่
- ผู้ที่มีผิวสีเข้มมาก เนื่องจากมักพบการเปลี่ยนแปลงของสีผิวแบบถาวรหลังจากการฉายแสงเลเซอร์ โดยกรณีนี้ พบบ่อยกว่าผู้ที่มีผิวสีอ่อนกว่า
- ผู้ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ผู้ที่เคยเป็นโรคเริม หรือมีแนวโน้มเป็นโรคเริมหลังจากการรักษา
- หญิงตั้งครรภ์หรือหญิงในระยะให้นมบุตร
ประเภทของเลเซอร์หน้าใส
เลเซอร์หน้าใสแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
- เลเซอร์ลอกผิว (Ablative Laser Resurfacing) เป็นลำแสงความเข้มข้นสูงที่ฉายลงบนผิวหนัง และกระตุ้นการสร้างโปรตีนคอลลาเจน (Collagen) ในผิวหนังขึ้นมาทดแทน โดยผิวที่สร้างใหม่มักเรียบเนียน กระชับ ไม่หย่อนคล้อย ทั้งนี้ เลเซอร์ในกลุ่ม เลเซอร์ลอกผิว ประกอบด้วย เลเซอร์ชนิดคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 Laser) และเออร์เบียม เลเซอร์ (Erbium Laser)
- เลเซอร์ที่ไม่ทำให้เป็นแผล (Non-ablative Laser) เป็นเลเซอร์ที่ฉายลงบนใบหน้า โดยไม่ทำให้ผิวลอกหรือใบหน้าเสียหาย ด้วยวิธีกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวหน้าเรียบและกระชับขึ้น เพื่อให้สีผิวเรียบเนียนและสม่ำเสมอกว่าเดิม นอกจากนั้น การทำเลเซอร์หน้าใสชนิดนี้ต้องทำอย่างต่อเนื่องประมาณ 3 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ค่อนข้างชัดเจน
เลเซอร์หน้าใส มีขั้นตอนอย่างไร
การทำเลเซอร์หน้าใสมีขั้นตอนเบื้องต้นดังนี้
- คุณหมออาจฉีดยาชาหรือแปะแผ่นยาชาบริเวณใบหน้า โดยอาจทำให้ชาเพียงบางส่วน หรือทั้งใบหน้า ขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการฉายแสงเลเซอร์
- คุณหมอจะปิดตาคนไข้ด้วยแว่นป้องกันแสงเลเซอร์หรือผ้าปิดตา เพื่อป้องกันดวงตาเสียหายจากแสงเลเซอร์
- ฉายแสงเลเซอร์บริเวณที่มีปัญหาผิว เช่น สิว จุดด่างดำ ริ้วรอย โดยการรักษาแต่ละครั้ง มักอาจใช้เวลาประมาณ 30 นาที-2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพผิว
- เมื่อฉายเลเซอร์หน้าใสเรียบร้อยแล้ว คุณหมอจะปิดผิวบริเวณที่รับการรักษาด้วยผ้ากอซ แล้วอนุญาตให้กลับบ้าน
เลเซอร์หน้าใส มีผลข้างเคียงอย่างไรบ้าง
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการทำเลเซอร์หน้าใส มีดังต่อไปนี้
- อาการอักเสบ บวม แดง ของใบหน้า ซึ่งจะค่อย ๆ หายเองหลังทำเลเซอร์หน้าใส หากบริเวณดวงตามีอาการบวม คุณหมอจะจ่ายยาสเตียรอยด์ (Steroid) ให้รับประทาน
- อาการคัน เกิดขึ้นประมาณ 12-72 ชั่วโมง หลังจากการทำเลเซอร์หน้าใส
- ผิวแห้งและลอก ช่วง 5-7 วันแรกหลังจากทำเลเซอร์
- ผิวหนังสีเข้มขึ้น ซึ่งรักษาด้วยการทาบลีชชิง ครีม (Bleaching Cream) เพื่อเร่งให้ผิวหนังส่วนที่เข้มขึ้นมีสีจางลง อย่างไรก็ตาม อาจมีบางรายที่สีผิวเข้มขึ้นหลังการทำเลเซอร์ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ และทำให้สีผิวเข้มคงอยู่ถาวร
- การติดเชื้อโรคเริม หรือแบคทีเรียบนใบหน้า ซึ่งสามารถป้องกันได้ ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะก่อนและหลังการทำเลเซอร์
- สิว เนื่องจากการอุดตันของรูขุมขนบริเวณที่ปิดผ้ากอซไว้หลังจากการฉายแสงเลเซอร์
ดูแลตัวเองอย่างไรหลังเลเซอร์หน้าใส
หลังจากการทำเลเซอร์หน้าใส ควรดูแลผิวหน้าตนเองตามคำแนะนำต่อไปนี้ จนกว่าผิวหน้าจะฟื้นฟูเป็นปกติ
- หลีกเลี่ยงการออกไปเผชิญแสงแดด หรือเลือกทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 ขึ้นไป ก่อนออกนอกบ้าน
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นอย่างต่อเนื่อง และควรทาครีม ปิโตรเลียมเจล หรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่อ่อนโยนต่อผิวตามคำแนะนำของคุณหมอ
- งดการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น และล้างหน้าอย่างเบามือ