แม้จะยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัดจากงานวิจัยและผู้เชี่ยวชาญว่า ตําแหน่งสิวบอกโรค ได้หรือไม่ แต่สาเหตุหลักของสิวอาจเกิดจากการอุดตันของน้ำมัน เชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกในรูขุมขน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าตำแหน่งในการเกิดสิวอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติในร่างกาย เช่น ความแปรปรวนของฮอร์โมน การติดเชื้อแบคทีเรีย ความผิดปกติของรูขุมขนในการผลิตน้ำมันมากเกินไป โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ ดังนั้น การดูแลสุขภาพผิวอยู่เสมอและการเข้าพบคุณหมอเพื่อตรวจสุขภาพประจำปี จึงอาจช่วยป้องกันปัญหาสิวและปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้
[embed-health-tool-bmr]
ตําแหน่งสิวบอกโรค ได้อย่างไร
สิวเกิดจากน้ำมัน เชื้อแบคทีเรีย เซลล์ผิวเก่า ขนและสิ่งสกปรกอุดตันในรูขุมขนเป็นเวลานานจนพัฒนาไปเป็นสิวชนิดต่าง ๆ เช่น สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวอักเสบ สิวไม่มีหัว ซึ่งสิวสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกบริเวณบนผิวหนัง
นอกจากนี้ ยังอาจเป็นไปได้ว่า ตำแหน่งสิวบอกโรค ได้ แต่ยังอาจไม่มีการยืนยันที่แน่ชัดจากงานวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญ โดยตำแหน่งสิวที่พบบ่อยต่อไปนี้ อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของร่างกาย
-
บริเวณไรผมและขมับ
สิวบริเวณไรผมและขมับส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการดูแลเส้นผมที่มีสารที่ทำให้เกิดการระคายเคือง การแพ้ และการอุดตัน เช่น แว็กซ์ น้ำหอม แอลกอฮอล์ ซิลิโคน ไซโคลเพนทาซิลอกเซน (Cyclopentasiloxane) ไดเมทิโคน (Dimethicone) อะคริเลต (Acrylates) น้ำมัน ซึ่งหากทำความสะอาดผิวได้ไม่ดีก็อาจทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนและพัฒนาไปเป็นสิวได้
-
บริเวณทีโซน (หน้าผาก จมูก และคาง)
บริเวณทีโซนเป็นบริเวณที่มีความมันมาก เนื่องจากรูขุมขนผลิตน้ำมันส่วนเกินมากเกินไปจนทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขนได้ง่าย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติของต่อมน้ำมันได้เช่นกัน ดังนั้น บริเวณทีโซนจึงอาจมีสิวหลายชนิดเกิดขึ้นบ่อยกว่าบริเวณอื่น ๆ
-
บริเวณแก้ม
สิวบริเวณแก้มส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือ การนอนบนหมอน การใช้เครื่องสำอาง แปรงแต่งหน้า หน้ากากอนามัย การใส่อุปกรณ์ป้องกันใบหน้า สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการเสียดสี การกดทับ ความอับชื้น การสะสมของเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง จนส่งผลให้เกิดเป็นสิวขึ้น
-
บริเวณกราม
สิวที่เกิดขึ้นบริเวณกรามอาจเกี่ยวข้องกับความแปรปรวนของฮอร์โมนเพศ สิวบริเวณกรามมักพบได้บ่อยในผู้ชายและผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ หรือมีประจำเดือนมาผิดปกติ ผู้หญิงที่เป็นโรคไข่ไม่ตก (Polycystic Ovary Syndrome-PCOS)
นอกจากนี้ สิวบริเวณกรามยังอาจเป็นสัญญาณของโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบได้ เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดขึ้นในผู้หญิงที่มีระดับฮอร์โมนเพศชายสูงมากและฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล
วิธีดูแลผิวเพื่อป้องกันการเกิดสิว
การดูแลผิวอย่างเหมาะสมเป็นประจำทุกวันอาจช่วยป้องกันการเกิดสิวได้ ดังนี้
- ทำความสะอาดผิว โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสูตรอ่อนโยน และล้างมือเป็นประจำเพื่อขจัดสิ่งสกปรกบนมือ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดความระคายเคือง เช่น สครับผิว มาสก์ เนื่องจากอาจทำให้ผิวบอบบาง อักเสบ และอาจทำให้อาการของสิวแย่ลงได้หากถูกเสียดสีมากเกินไป
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว เช่น เรตินอยด์ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) อะดาพาลีน (Adapalene) กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids หรือ AHA) ที่มีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ช่วยลดความมันส่วนเกิน และขจัดเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง
- หลีกเลี่ยงการใช้สารระคายเคือง เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน น้ำหอม แอลกอฮอล์ แว็กซ์ เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ ก่อให้เกิดการอุดตันและสิว หรืออาจทำให้ปัญหาสิวแย่ลงได้
- ปกป้องผิวจากแสงแดด แสงแดดเป็นสารอนุมูลอิสระที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพและอาจทำให้เกิดปัญหาสิวได้ง่าย จึงควรปกป้องผิวด้วยการทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน เพื่อปกป้องผิวจากการทำร้ายของแสงแดด
- หลีกเลี่ยงการเสียดสีหรือกดทับบนผิวหนัง เช่น การใช้โทรศัพท์ หมวกกันน็อค สร้อยคอ ที่คาดผม ผมหน้าม้า เป้สะพายหลัง สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผิวระคายเคือง อับชื้น เกิดการสะสมของเหงื่อ น้ำมัน และเชื้อแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดสิว
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือแกะเกาสิว เพราะมืออาจมีเชื้อแบคทีเรียและน้ำมันที่ก่อให้เกิดสิวได้ นอกจากนี้ การแกะเกาสิวยังอาจทำให้สิวเกิดการอักเสบและอาการแย่ลงได้
- อาบน้ำหลังทำกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรมที่ทำให้มีเหงื่อออกมาก เช่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬา เพื่อลดการสะสมของเหงื่อและเชื้อแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดสิว