สิวอักเสบหัวหนอง เป็นสิวที่เกิดขึ้นจากการอุดตันของรูขุมขน และเมื่อหัวสิวถูกกดทับหรือมีการสะสมของน้ำมันใต้ผิวหนังเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้หัวหนองผุดออกมา อาจทำให้มีอาการเจ็บปวด บวม แดง และเป็นหนอง ซึ่งหากไม่ทำการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม รูขุมขนอาจเสียหาย เกิดเป็นหลุมสิว แผลเป็น และอาจทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอได้
[embed-health-tool-heart-rate]
สิวอักเสบหัวหนอง เกิดจากอะไร
สิวอักเสบหัวหนอง อาจเกิดจากเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว น้ำมันที่ผลิตในรูขุมขน สิ่งสกปรก และเชื้อแบคทีเรียที่อุดตันรูขุมขนจนทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบขึ้น และเมื่อหัวสิวอักเสบถูกกดทับหรือมีการสะสมของน้ำมัน สิ่งสกปรกและเชื้อโรคมากขึ้นก็อาจทำให้ผนังรูขุมขนแตกออกจนผุดออกมาเป็นสิวอักเสบหัวหนองและอาจทำให้สิวแตกได้
อาการของสิวอักเสบหัวหนอง
สิวอักเสบหัวหนองอาจเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า คอ หนังศีรษะ หลัง หน้าอก ก้น แขน ขา และขาหนีบ โดยอาการของสิวอักเสบหัวหนอง มีดังนี้
- ตุ่มนูนเป็นก้อนแข็ง มีขนาดเล็กหรือใหญ่
- ตุ่มนูนแดง บวมที่ผิวหนังบริเวณตุ่มสิวและตุ่มหนอง
- เจ็บปวดและรู้สึกไม่สบายบริเวณตุ่มสิวหรือรอบ ๆ ตุ่ม
- หัวสิวมีสีเหลือง สีขาว หรือสีแดงตรงกลางตุ่มสิว
ภาวะแทรกซ้อนของ สิวอักเสบหัวหนอง
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเป็นสิวอักเสบหัวหนอง มีดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงของสีผิวบริเวณที่เป็นสิวอักเสบหัวหนอง โดยในผู้ที่มีผิวขาว เมื่อสิวอักเสบหัวหนองหายแล้วอาจทำให้สีผิวบริเวณที่เป็นสิวมีสีเข้มขึ้น สำหรับผู้ที่มีผิวคล้ำบริเวณที่เป็นสิวอาจมีสีจางลงกว่าสีผิวปกติหรือเข้มขึ้นก็ได้
- รอยแผลเป็น ผิวบริเวณที่เป็นสิวอักเสบหัวหนองอาจเป็นหลุม หรือเป็นรอยแผลเป็นนูนเกิดขึ้นบนผิวหนังเป็นเวลานาน ที่สามารถหายเองได้ หรืออาจรักษาให้หายได้ยากขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผล
การรักษาสิวอักเสบหัวหนอง
สิวอักเสบหัวหนองอาจรักษาได้ด้วยการทำความสะอาดผิวหน้าและการใช้ครีมที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรียและช่วยผลัดเซลล์ผิว ดังนี้
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) อาจช่วยลดผิวหนังอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และลดการอุดตันของรูขุมขน
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) อาจช่วยผลัดเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ ลดน้ำมันส่วนเกิน และลดการอุดตันของรูขุมขน
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) อาจช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอุดตันของรูขุมขน
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) เป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามินบี 3 ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และลดการอุดตันของรูขุมขน
- เรตินอยด์ (Retinoid) เช่น เตรทติโนอิน (Tretinoin) อะดาพาลีน (Adapalene) เป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ ที่ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและลดการอุดตันของรูขุมขน
- ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ เช่น อีรีโทรมัยซิน (Erythromycin) แดพโซน (Dapsone) ที่อาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
สำหรับยากินที่อาจช่วยรักษาสิวอักเสบหัวหนอง มีดังนี้
- ยาปฏิชีวนะ เช่น เตตราไซคลิน (Tetracycline) แดพโซน (Dapsone) ที่ช่วยรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย
- การรักษาด้วยฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) ที่เป็นยาต้านแอนโดรเจน ซึ่งอาจช่วยยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนที่กระตุ้นทำให้เกิดสิว
- ไอโซเตรทติโนอิน (Isotretinoin) เป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ ที่อาจช่วยกดการทำงานของต่อมไขมัน ลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย และลดการอักเสบของสิว
สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวอักเสบหัวหนองเรื้อรัง หรือสิวมีขนาดใหญ่และอักเสบรุนแรง ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อป้องกันความเสียหายของรูขุมขนและป้องกันความรุนแรงของสิว ดังนี้
- กดสิว ด้วยการใช้เข็มหรือมีดผ่าตัดขนาดเล็กในการสะกิดเอาสิวหัวดำ สิวอุดตัน หรือสิวอักเสบหัวหนองออก
- ฉีดคอร์ติโซน (Cortisone Injections) เป็นการฉีดยาเข้าหัวสิวโดยตรงเพื่อลดการอักเสบและลดขนาดสิว
- การฉายแสง เป็นการรักษาสิวด้วยการฉายแสงเพื่อช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
การป้องกันสิวอักเสบหัวหนอง
การป้องกันสิว และความรุนแรงของสิวอักเสบหัวหนองอาจทำได้ ดังนี้
- ล้างหน้าเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะเวลาที่มีเหงื่อออกมากหรือผู้ที่มีหน้ามันมาก เพื่อขจัดสิ่งสกปรกบนใบหน้าที่อาจทำให้รูขุมขนอุดตัน และควรให้ความชุ่มชื้นกับผิวหลังล้างหน้าด้วยการทามอยเจอร์ไรเซอร์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า เพราะมืออาจปนเปื้อนสิ่งสกปรก เชื้อแบคทีเรีย และมีน้ำมันที่สามารถอุดตันรูขุมขนบนใบหน้าจนทำให้เกิดสิวได้
- เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำมัน แอลกอฮอล์ และน้ำหอม ที่อาจทำให้เกิดความระคายเคืองและการแพ้ ที่อาจเพิ่มโอกาสของการเกิดสิว
- ไม่ควรเกา บีบ หรือกดสิวทุกชนิด เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบที่ก่อให้เกิดสิวอักเสบหัวหนอง และอาจทำให้เกิดแผลเป็นได้
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะน้ำตาลอาจทำให้ผิวหนังอักเสบได้ง่ายจนอาจมีแนวโน้มเป็นสิวง่ายขึ้นในผู้ป่วยบางราย
- เลิกสูบบุหรี่ เพราะสารเคมีในบุหรี่สามารถทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งอาจทำให้ผิวหนังอ่อนแอและเป็นสิวได้ง่าย