backup og meta

โรคพุ่มพวง อาการ สาเหตุและการรักษา

โรคพุ่มพวง อาการ สาเหตุและการรักษา

โรคพุ่มพวง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus หรือ SLE) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ เนื้อเยื่อและอวัยวะภายในร่างกายเหมือนกับการทำลายเชื้อโรค จนทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง โดยอาจมีสาเหตุจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ฮอร์โมนและสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นอาการ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการทางผิวหนัง เช่น ผื่นบนใบหน้าและร่างกาย ผิวไวต่อแสง ร่วมทั้งอาการทางร่างกายอื่น ๆ เช่น มีไข้ ปวดข้อ ปวดหัว มึนงง เจ็บหน้าอก ซึ่งเป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นเมื่ออวัยวะอื่น ๆ ได้รับผลกระทบ

[embed-health-tool-bmi]

คำจำกัดความ

โรคพุ่มพวง คืออะไร

โรคพุ่มพวง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง คือ โรคภูมิต้านทานตนเองชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติ เข้าทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อที่แข็งแรงในร่างกายเหมือนกับการทำลายเชื้อโรคที่เป็นอันตราย ส่งผลให้เซลล์ เนื้อเยื่อและอวัยวะภายในถูกทำลายจนเกิดการอักเสบ และทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น แผลในช่องปาก ผมร่วง เหนื่อยล้า มีไข้ ปวดข้อ ผื่นบริเวณใบหน้าและร่างกาย

โรคพุ่มพวงพบบ่อยแค่ไหน

โรคพุ่มพวงมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และอาจพบมากในผู้ที่มีอายุประมาณ 15-45 ปี เนื่องจากผู้หญิงโดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์อาจมีฮอร์โมนที่แปรปรวนบ่อย ทำให้ร่างกายอ่อนแอง่ายและระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติจนกระตุ้นให้อาการของโรคพุ่มพวงกำเริบขึ้น

อาการ

อาการของโรคพุ่มพวง

อาการของโรคพุ่มพวงที่พบบ่อย อาจมีดังนี้

  • เหนื่อยล้า มีไข้
  • เจ็บหน้าอก หายใจถี่
  • ปวดข้อ ตึงและบวม
  • ตาแห้ง แผลในช่องปาก ผมร่วง
  • ปวดหัว มึนงง สับสนหรือสูญเสียความทรงจำ
  • ผื่นลุกลามบริเวณแก้ม สันจมูกหรือเกิดขึ้นบริเวณอื่น ๆ ทั่วร่างกาย
  • มีผื่นหรือรอยโรคเกิดขึ้นบนผิวหนังเมื่อสัมผัสกับแสงแดด
  • นิ้วมือและนิ้วเท้าเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือสีน้ำเงินเมื่อสัมผัสกับความหนาวเย็นหรือความเครียด

ควรเข้าพบคุณหมอหากผู้ป่วยมีผื่นขึ้นลุกลาม มีไข้เป็นเวลานาน มีอาการปวดข้อและเหนื่อยล้ารุนแรง

สาเหตุ

สาเหตุของโรคพุ่มพวง

โรคพุ่มพวงเป็นโรคภูมิต้านทางตัวเองชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เข้าทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อที่แข็งแรงเหมือนกับการทำลายเชื้อโรคที่เป็นอันตราย ซึ่งอาจยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่อาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ฮอร์โมนหรืออาจเกิดจากสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติจนก่อให้เกิดการกำเริบของโรคพุ่มพวง

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงของโรคพุ่มพวง

โรคพุ่มพวงอาจมีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดโรค ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่อไปนี้

  • การติดเชื้อ การติดเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา อาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้อาการของโรคพุ่มพวงกำเริบขึ้นได้
  • แสงแดด การสัมผัสกับแสงแดดที่มากเกินไปหรือเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันและผิวอ่อนแอลงจนกระตุ้นให้เกิดโรคพุ่มพวงได้
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาความดันโลหิต ยาต้านอาการชัก ยาปฏิชีวนะ อาจกระตุ้นให้ฮอร์โมนหรือระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งโดยปกติเมื่อหยุดใช้ยาอาการของโรคพุ่มพวงจะค่อย ๆ ดีขึ้น
  • เพศ โรคพุ่มพวงพบบ่อยในเพศหญิง เนื่องจากผู้หญิงอาจมีช่วงที่ฮอร์โมนแปรปรวนและระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โดยเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์ที่ฮอร์โมนแปรปรวนมาก จนอาจเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคพุ่มพวง
  • อายุ ผู้ที่มีอายุระหว่าง 15-45 ปี เป็นช่วงวัยเจริญพันธุ์ที่ฮอร์โมนอาจเปลี่ยนแปลงบ่อย ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้อาการกำเริบได้

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อร่างกายเกิดการอักเสบจากโรคพุ่มพวง อาจมีดังนี้

  • โรคไต โรคพุ่มพวงอาจทำให้ไตถูกทำลาย ส่งผลให้เกิดภาวะไตวายและเสียชีวิตได้
  • ปัญหาของเลือดและหลอดเลือด โรคพุ่มพวงอาจทำให้จำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดงลดลง อาจเสี่ยงในการตกเลือด การแข็งตัวของเลือดเพิ่มขึ้น และอาจทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดได้
  • ปัญหาของสมองและระบบประสาทส่วนกลาง อาจทำให้มีอาการปวดหัว เวียนหัว พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง สูญเสียความจำ มีปัญหาในการมองเห็น หรืออาจรุนแรงจนเกิดอาการชักและเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
  • ปัญหาหัวใจ อาจทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดแดง หรือเยื่อหุ้มหัวใจ และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคหัวใจวายได้
  • โรคปอด อาจทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุช่องอก มีอาการหายใจลำบาก เลือดออกในปอดและปอดบวมได้
  • การติดเชื้อ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอกว่าปกติจึงอาจติดเชื้อได้ง่าย
  • เนื้อเยื่อกระดูกตาย อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเลือดไปเลี้ยงกระดูกลดลง จนอาจทำให้กระดูกแตกร้าวและปวดข้อ

การวินิจฉัยและการรักษา

การวินิจฉัยโรคพุ่มพวง

โรคพุ่มพวงอาจทำการวินิจฉัยได้ยากเนื่องจากมีอาการที่แตกต่างกันในแต่ละคน และอาจมีอาการที่คล้ายกับความผิดปกติของโรคอื่น ๆ ได้เช่นกัน จึงควรเข้าพบคุณหมอหากมีอาการผื่นลุกลามบนใบหน้า มีไข้เป็นเวลานานและปวดข้อ เพื่อทำการทดสอบด้วยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ หรือตรวจสอบอาการที่แสดงออกทางร่างกายอื่น ๆ ดังนี้

การตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะ

  • การนับเม็ดเลือด เพื่อตรวจสอบจำนวนเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือดและปริมาณฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นโปรตีนของเม็ดเลือดแดง หากพบว่ามีภาวะโลหิตจางหรือเม็ดเลือดขาวต่ำอาจแสดงว่าเป็นโรคพุ่มพวง
  • การตรวจอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง หากพบว่าเม็ดเลือดแดงตกตะกอนเร็วกว่าปกติอาจเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคพุ่มพวง ติดเชื้อ หรือมีอาการอักเสบอื่น ๆ
  • การตรวจไตและตับ เพื่อดูการทำงานของไตและตับ เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคพุ่มพวงมักมีการทำงานของไตและตับที่ผิดปกติ
  • การตรวจปัสสาวะ เพื่อดูปริมาณโปรตีนของเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ เนื่องจากไตของผู้ที่เป็นโรคพุ่มพวงมักทำงานผิดปกติจนอาจมีปริมาณของโปรตีนเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น

การตรวจสอบด้วยภาพถ่าย

  • การเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อดูของเหลวหรือการอักเสบของปอด
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อตรวจดูการเต้นของหัวใจ ปัญหาของลิ้นหัวใจและความผิดปกติอื่น ๆ ของหัวใจ

การตรวจชิ้นเนื้อ

เป็นการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อของไตหรือผิวหนัง เพื่อทำการวิเคราะห์หาสาเหตุของอาการ เนื่องจากโรคพุ่มพวงอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานที่ผิดปกติของไตและสภาพผิวหนังที่ผิดปกติ การรักษาโรคพุ่มพวง

การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงและการแสดงอาการของโรค โดยคุณหมออาจต้องประเมินอาการก่อนที่จะสั่งยาหรือทำการรักษา ดังนี้

  • ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs หรือ NSAIDs) เช่น นาพรอกเซน (Naproxen) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ซึ่งอาจช่วยรักษาอาการปวด บวม และมีไข้
  • ยาต้านมาเลเรีย เช่น ไฮดรอกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquin) ซึ่งอาจช่วยรักษาระบบภูมิคุ้มกัน และอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคพุ่มพวง
  • คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เช่น เพรดนิโซนโลน (Prednisolone) เมทิลเพรดนิโซโลน (Methylprednisolone) ซึ่งอาจช่วยต้านการอักเสบและใช้เพื่อควบคุมโรคร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของไตและสมอง
  • ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น อะซาไธโอพรีน (Azathioprine) ไมโคฟีโนเลตโมฟีทิล (Mycophenolate Mofetil) เมโธเทรกเซท (Methotrexate) ไซโคลสปอริน (Cyclosporine) เลฟลูโนไมด์ (Leflunomide) มักใช้ในกรณีที่เป็นโรคพุ่มพวงขั้นร้ายแรง

การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง

การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อจัดการกับโรคพุ่มพวง

การดูแลตัวเองเพื่อรับมือกับโรคพุ่มพวงและช่วยบรรเทาอาการของโรค อาจมีดังนี้

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ หรือ 5 วัน/สัปดาห์ วันละ 30 นาที เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เพื่อช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดี ส่งเสริมให้กระดูกแข็งแรง ลดอาการปวดข้อ ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ และอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวาย
  • รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเน้นการรับประทานโปรตีน ผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน รวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุ โดยเฉพาะวิตามินดีและแคลเซียม ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง และควรจำกัดการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง ไขมันอิ่มตัวและน้ำตาล ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง ไตเสียหาย ปัญหาในทางเดินอาหาร
  • ปกป้องผิวจากแสงแดด เนื่องจากผิวของผู้ที่เป็นโรคพุ่มพวงอาจไวต่อแสงแดด จึงควรหลีกเลี่ยงการออกไปเจอกับแสงแดดจัด หรือหากต้องออกไปข้างนอกควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 50 ขึ้นไป และใส่หมวกหรือเสื้อแขนยาวทุกครั้ง
  • ไม่ควรสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดและส่งผลเสียต่อสุขภาพผิว รวมทั้งอาจกระตุ้นให้อาการของโรคพุ่มพวงแย่ลงได้
  • พบคุณหมอเป็นประจำ เพื่อตรวจร่างกายและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อป้องกันการกำเริบของอาการได้อีกด้วย

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

 โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE). https://www.si.mahidol.ac.th/siriraj_online/thai_version/Health_detail.asp?id=1434. Accessed June 9, 2022

Lupus. https://www.cdc.gov/lupus/facts/detailed.html. Accessed June 9, 2022

Systemic lupus erythematosus. https://medlineplus.gov/genetics/condition/systemic-lupus-erythematosus/. Accessed June 9, 2022

Lupus. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/lupus/symptoms-causes/syc-20365789. Accessed June 9, 2022

Lupus-Diagnosis-treatment. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/lupus/diagnosis-treatment/drc-20365790. Accessed June 9, 2022

What is systemic lupus erythematosus (SLE)?. https://www.lupus.org/resources/what-is-systemic-lupus-erythematosus-sle. Accessed June 9, 2022

เวอร์ชันปัจจุบัน

30/03/2023

เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย แพทย์หญิงภัทรีวัลย์ โรจนพันธุ์

อัปเดตโดย: สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย


บทความที่เกี่ยวข้อง

ผิวแข็งแรง เป็นอย่างไร และ 5 เคล็ดลับในการดูแลผิว

ผิวหนังอักเสบ (Eczema หรือ Dermatitis) สาเหตุ อาการ วิธีรักษา


ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

แพทย์หญิงภัทรีวัลย์ โรจนพันธุ์

โรคผิวหนัง · โรงพยาบาลวิภาวดี



เขียนโดย ทัตพร อิสสรโชติ · แก้ไขล่าสุด 30/03/2023

ad iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา