โรคตับแข็ง (Cirrhosis) เกิดจากการที่ตับอักเสบทำให้เนื้อเยื่อตับเป็นพังผืด เกิดความเสียหายและไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม ทำให้เกิดการขัดขวางกระแสเลือดภายในตับบางส่วน โดยมีปัจจัยเสี่ยงคือพันธุกรรม การดื่มแอลกอฮอล์ และโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกิน
โรคตับแข็ง (Cirrhosis) เกิดจากการที่ตับอักเสบทำให้เนื้อเยื่อตับเป็นพังผืด เกิดความเสียหายและไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม ทำให้เกิดการขัดขวางกระแสเลือดภายในตับบางส่วน โดยมีปัจจัยเสี่ยงคือพันธุกรรม การดื่มแอลกอฮอล์ และโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกิน
โรคตับแข็ง (Cirrhosis) เป็นภาวะที่ตับได้รับความเสียหายและไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม มักเกิดขึ้นเมื่อตับมีการอักเสบทำให้เนื้อเยื่อตับเป็นพังผืด และไปขัดขวางกระแสเลือดภายในตับเป็นบางส่วน
ทั้งนี้ ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดภายในร่างกาย ทำหน้าที่สำคัญหลายประการ โดยหน้าที่หลักของตับ ได้แก่
โดยปกติแล้ว ตับสามารถฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายได้ ยกเว้นในกรณีที่เกิดความเสียหายรุนแรงเกินไปเป็นเวลานาน ส่งผลให้เนื้อเยื่อตับกลายเป็นเนื้อเยื่อแผลเป็น ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพังผืด (fibrosis) การเกิดพังผืดของตับเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เมื่อเวลาผ่านไปก็จะก่อให้เกิดตับแข็งในที่สุด
โรคตับแข็งในระยะเริ่มแรก ตับยังคงทำงานและเมื่อเข้าสู่สู่ระยะต่อไปตับอาจล้มเหลวได้ ควรเข้ารับการตรวจทันทีเพื่อป้องกันตับล้มเหลว (liver failure)
โรคตับแข็งพบได้ทั่วไป โดยมักพบอยู่ในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังระยะสุดท้าย (chronic liver disease) โดยประมาณการกันว่าคนจำนวน 50 ล้านคนในโลกได้รับผลกระทบจากโรคตับเรื้อรัง และโรคตับแข็ง ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพได้ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง อย่างไรก็ดี อัตราการเสียชีวิตจากโรคตับแข็งมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
สัญญาณเตือนและอาการของโรคตับแข็งขึ้นอยู่กับระยะของโรค คนจำนวนมากที่เป็นโรคตับแข็งในระยะเริ่มแรกอาจไม่มีสัญญาณเตือนหรืออาการ หากมีอาการเกิดขึ้น มักมีลักษณะดังต่อไปนี้
ในช่วงระยะท้าย ๆ ของโรคตับแข็ง อาจมีอาการดังนี้
อาจมีสัญญาณเตือนหรืออาการบางประการที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากมีข้อกังวลใด ๆ เกี่ยวกับอาการหนึ่งที่เกิดขึ้น สามารถขอเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ได้ในทันที
ควรไปพบหมอหากมีสัญญาณเตือนและอาการใด ๆ ที่กล่าวถึงข้างต้น เพราะหากตรวจพบว่าเป็น ควรรีบรักษาตับแข็งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันตับเสียหายมากขึ้น และอาจสามารถรักษาตับเสียหายได้โดยการรักษาเซลล์เนื้อเยื่อตับ
มีสาเหตุหลายประการสำหรับโรคตับแข็ง สาเหตุทั่วไป ได้แก่
เป็นภาวะเรื้อรังที่มีการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส มักแพร่กระจายจากเลือดที่ติดเชื้อผ่านการใช้เข็มร่วมกันหรือการถ่ายเลือด ตับอักเสบซีมักไม่ค่อยแพร่กระจายทางเพศสัมพันธ์หรือการคลอดบุตร
โรคตับประเภทนี้เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หมายความว่า หากดื่มมากกว่า 2 ถึง 3 หน่วยต่อวันเป็นเวลามากกว่า 10 ถึง 12 ปี มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคตับแข็งจากแอลกอฮอล์ (alcoholic cirrhosis)
ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าไขมันสะสมในตับ (non-alcoholic steatohepatits (NASH)) เกิดขึ้นเมื่อมีไขมันส่วนเกินในตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ สาเหตุบางประการ อาจได้แก่ โรคอ้วน เบาหวานที่ไม่ได้รับการรักษา ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง และไตรกลีเซอไรด์สูง
โดยคล้ายคลึงกับตับอักเสบซี ตับอักเสบบี เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งทำให้เกิดตับอักเสบ พังผืด และตับแข็ง ตับอักเสบบีสามารถแพร่กระจายโดยเลือดที่ติดเชื้อผ่านการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การถ่ายเลือด เพศสัมพันธ์ และการคลอดบุตร แต่ตับอักเสบบีเป็นโรคที่ป้องกันได้ ซึ่งหมายความว่ามีวัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อได้
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเพิ่มโอกาสการเกิดตับแข็ง มีดังต่อไปนี้
ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีการต่า งๆ ในการจัดการความเสี่ยง หากจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมอาจช่วยป้องกันโรคตับแข็งหรือป้องกันอาการไม่ให้แย่ลงได้
ข้อมูลที่นำเสนอมิได้ใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์เสมอสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
คุณหมอจะวินิจฉัยภาวะตับแข็งโดยการพิจารณาภาวะสุขภาพในปัจจุบัน รวมทั้งทำการตรวจร่างกายและหัตถการหลายประการ การตรวจเพื่อวินิจฉัย อาจได้แก่
การรักษาโรคตับแข็งขึ้นอยู่กับสาเหตุรวมทั้งภาวะแทรกซ้อนใดๆ ที่เกิดขึ้น เริ่มแรก ควรกำจัดหรือรักษาสาเหตุของตับแข็งก่อน นั่นก็คือ การลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาใดๆ ที่ทำให้ตับเสียหาย
การรักษาตับอักเสบบีและตับอักเสบซีโดยใช้ยาต้านไวรัส (anti-virals) สามารถช่วยจัดการภาวะอักเสบในตับ ซึ่งเป็นการบรรเทาภาวะตับแข็งที่ทำให้ตับเสียหาย หากสาเหตุของตับแข็งเกิดจากท่อน้ำดีอุดตัน คุณหมออาจสั่งยา เออร์โซไดออล (ursodiol) เพื่อแทนที่กรดน้ำดีที่ปกติถูกสังเคราะห์ขึ้นในตับ
กรณีที่คุณหมอพิจารณาแล้วว่าอาการเบื้องต้นของผู่้ป่วยสามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไม่ได้ผล อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้เทคนิคอื่นๆ ในการรักษาร่วมด้วย เช่น การผ่าตัด การเปลี่ยนทางเดินหลอดเลือด (portacaval shunt) และการปลูกถ่ายตับ (liver transplantation)
นอกจากนี้ อาจจำเป็นต้องรักษาอาการแทรกซ้อนที่สัมพันธ์กับโรคตับแข็งที่อาจเกิดขึ้นอีกด้วย ได้แก่ อาการปวดท้องหรืออาการคัน มีน้ำในช่องท้อง (ascites) ความดันโลหิตสูงในหลอดเลือดดำพอร์ทัล (portal veins) ที่บริเวณช่องท้อง (portal hypertension) ภาวะหลอดเลือดขยายตัว (varices) โรคมะเร็งตับ ภาวะความหนาแน่นของกระดูกลดลง หรือโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) นิ่วในถุงน้ำดี (gallstones) และการสูญเสียการทำงานของสมองที่เกิดจากการสะสมตัวของสารพิษ (hepatic encephalopathy) เพราะมิเช่นนั้นภาวะดังกล่าวนี้อาจนำพาให้สุขภาพเริ่มทรุด และแย่ลงกว่าเดิมได้
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองดังต่อไปนี้อาจช่วยให้รับมือกับโรคตับแข็งได้ดีขึ้น
หากมีข้อสงสัย โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจอย่างละเอียดมากขึ้น และเป็นการนำไปปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันของคุณได้อย่างลงตัว
หมายเหตุ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย
Duangkamon Junnet
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย