หากคุณลองสังเกตตนเองแล้วพบว่า ตนเองนั้นเริ่มมีปัญหาในการสื่อสาร หรือเริ่มพูดคุยกับบุคคลรอบข้างติด ๆ ขัด ๆ ก็อาจเป็นไปได้ว่าอาการดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณอาจกำลังเสี่ยงเป็น หลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน (Carotid Artery) และอาจจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัย รวมถึงเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
คำจำกัดความ
หลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน คืออะไร
โรคหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน (Carotid Artery) จะเกิดขึ้นต่อเมื่อหลอดเลือดของคุณมีการสะสมของไขมัน จนเกิดการอุดตันของหลอดเลือด จนไม่สามารถลำเลียงเลือดไปยังหลอดเลือดสมองได้ ทำให้สมองขาดออกซิเจน เซลล์สมองเริ่มตาย และการรับรู้ช้าลงในที่สุด ที่สำคัญยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดในสมองได้มากถึง 10-20% รวมไปถึงภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ลิ่มเลือดขนาดใหญ่ คราบพลัคในหลอดเลือด หากคุณปล่อยไว้เป็นเวลานาน แน่นอนว่าเมื่ออาการทวีความรุนแรงขึ้นก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ในที่สุด
หลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน พบบ่อยได้เพียงใด
หลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน สามารถพบได้บ่อยในทุกช่วงวัย และจะมีอาการแย่ลงเรื่อย ๆ ตามช่วงอายุที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงผู้ที่มีน้ำหนักมากเกินมาตรฐาน ขาดการดูแลสุขภาพ
อาการ
อาการของหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน
ในระยะแรกเมื่อหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน อาจจะไม่แสดงอาการเผยให้เห็นเท่าไหร่นัก จนกว่าอาการจะเข้าสู่ในระดับที่รุนแรง ดังนั้นคุณจึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ และโปรดสังเกตตนเองหากพบอาการผิดปกติต่าง ๆ ดังนี้
- ปวดศีรษะไม่ทราบสาเหตุ
- วิงเวียนศีรษะจนหมดสติล้มลงอย่างกะทันหัน
- สูญเสียการมองเห็นชั่วคราว
- มองเห็นวัตถุรอบตัวเป็นภาพซ้อน
- การสื่อสารด้านการพูดคุยติดขัด
- การเคลื่อนไหวช้าลง
- ร่างกายเป็นอัมพาต
สาเหตุ
สาเหตุของโรคหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน
โรคหลอดเลือดแดงคาโรตีบตีน มีสาเหตุส่วนใหญ่จากการสะสมของคราบจุลินทรีย์ในหลอดเลือดแดง โดยประกอบด้วยคอเลสเตอรอล แคลเซียม เนื้อเยื่อ เส้นใย และเซลล์อื่น ๆ ที่รวมตัวกันจนอุดตัน ก่อให้เกิดมีปัญหาของการส่งออกซิเจน และสารอาหารไปยังโครงสร้างสมอง
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของ โรคหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลให้หลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน มักมาจากโรคประจำตัว และพฤติกรรมบางอย่างของคุณ โดยคุณสามารถเช็กปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้ ดังนี้
- ภาวะความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคอ้วน
- ไขมันในเลือดสูง
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ขาดการออกกำลังกาย
- สูบบุหรี่
อีกทั้งปัจจัยทางด้านอายุที่มากขึ้น รวมถึงประวัติของบุคคลในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือด ก็อาจสามารถทำให้คุณเสี่ยงต่อการเผชิญกับโรคหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตันได้เช่นเดียวกัน
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัย โรคหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน
หากคุณเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์ สิ่งแรกที่คุณควรปฏิบัติคือ การแจ้งประวัติของโรคที่คุณเป็น รวมถึงยา อาหารเสริม และสมุนไพรที่คุณรับประทานในปัจจุบัน เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินเบื้องต้น จากนั้นจึงจะใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการตรวจสุขภาพคุณเพื่อหาสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตันอีกครั้ง ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- อัลตราซาวด์ เป็ยการเช็กระบบการไหวเวียนของเลือด
- เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หาความผิดปกติออกมาในรูปแบบภาพถ่ายเพื่อให้เห็นรายละเอียดของหลอดเลือดได้ชัดเจนขึ้น
- เครื่องเอกซเรย์เอ็มอาร์เอ (Magnetic Resonance Angiography) เป็นการตรวจหลอดเลือด ด้วยการใช้เครื่องถ่ายภาพด้วยสนามแม่เหล็ก หาความผิดปกติของหลอดเลือด และอาจมีการฉีดสีย้อมเฉพาะทางการแพทย์เข้าไปเล็กน้อยเพื่อดูการอุดตัน
การรักษา โรคหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน
หากผลวินิจฉัยพบว่าคุณกำลังเป็นโรคหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน แพทย์อาจดำเนินการรักษาตามสาเหตุที่พบ และอาการที่คุณเป็น เช่น การใช้ยาลดความดันสำหรับผู้ที่เป็นภาวะความดันในเลือดสูง ยาลดระดับไขมันในเลือด แต่กหากผู้ป่วยยังมีอาการไม่ดีขึ้นแพทย์อาจจำเป็นต้องนำวิธีการรักษา ดังต่อไปนี้ เข้ามาช่วย
- การผ่าตัดเปิดหลอดเลือด เป็นการรักษาที่พบบ่อยที่สุดสำหรับโรคหลอดเลือดแดงระดับรุนแรง โดยจะใช้วิธีกรีดหลอดเลือด และนำคราบจุลินทรีย์ที่อุดตันออกมา
- ผ่าตัดใส่ขดลวด หากการรักษาในเทคนิคข้างต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจต้องใช้บอนลูนขยาย หลอดเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้หลอดเลือดตีบตันในอนาคต
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือการเยียวยาตนเองเพื่อป้องกันและรักษาหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด โรคหลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตัน อีกครั้ง คุณควรปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตตามคำแนะนำแพทย์ มิเช่นนั้นอาจทำให้คุณเสี่ยงที่จะเผชิญกับโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่รุนแรงเพิ่มเติมได้
- หยุดสูบบุหรี่
- จำกัดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานผัก ผลไม้ ปริมาณมาก
- ลดปริมาณการรับประทานอาหารแปรรูป และมีโซเดียมสูง
- รักษาน้ำหนักให้คงที่ด้วยการออกกำลังกาย และวางแผนการรับประทานอาหารร่วมกัน
[embed-health-tool-heart-rate]