น้อยหน่า เป็นผลไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในแถบประเทศเขตร้อน ในประเทศไทยมักพบน้อยหน่าในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยเฉพาะจังหวัดนครราชสีมา เป็นแหล่งปลูกน้อยหน่าที่มีชื่อเสียง แบ่งเป็นพันธุ์เนื้อและพันธุ์หนัง ผลน้อยหน่ามีลักษณะเป็นทรงกลม ผิวขรุขระ เปลือกสีเขียว เป็นตา ๆ ส่วนเนื้อข้างในเป็นสีขาวให้รสหวานเมื่อสุก ขณะที่เมล็ดเป็นสีดำ น้อยหน่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพเพราะประกอบไปด้วยสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ เช่น ไฟเบอร์ วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 แมกนีเซียม โดยมีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนว่า การบริโภคน้อยหน่าอาจมีประโยชน์ต่อร่างกายในหลาย ๆ ด้าน เช่น ช่วยบำรุงสายตา ต้านมะเร็งเม็ดเลือดขาว ป้องกันโรคท้องผูก
[embed-health-tool-bmi]
คุณค่าทางโภชนาการของ น้อยหน่า
น้อยหน่า 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 101 กิโลแคลอรี่ และประกอบไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้
- คาร์โบไฮเดรต 25.2 กรัม
- โปรตีน 1.7 กรัม
- ไขมัน 0.6 กรัม
- โพแทสเซียม 382 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 30 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 21 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 19.2 มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม 18 มิลลิกรัม
- โซเดียม 4 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ ในน้อยหน่ายังพบสารอาหารอื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6
ประโยชน์ต่อสุขภาพของ น้อยหน่า
น้อยหน่า มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย โดยมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนประโยชน์ของน้อยหน่า ดังนี้
-
อาจช่วยต้านมะเร็งบางชนิดได้
น้อยหน่าอุดมไปด้วยสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) อย่างแคทีชิน (Catechin) และเอพิแคทีชิน (Epicatechin) ซึ่งมีคุณสมบัติในการยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง การรับประทานน้อยหน่าจึงอาจช่วยต้านมะเร็งได้
ในงานวิจัยหนึ่งว่าด้วยคุณสมบัติต้านมะเร็งต่อเซลล์มะเร็งปอดของแคทีชิน ตีพิมพ์ในวารสาร Applied Sciences ปี พ.ศ. 2563 นักวิจัยสรุปว่า แคทีชินอาจมีประสิทธิภาพหยุดยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์มะเร็งปอด โดยยับยั้งการทำงานของโปรตีนไซคลิน อี 1 (Cyclin E1) และปฏิกิริยาฟอสฟอรีเลชันของโปรตีนไคเนส (Protein Kinase) ซึ่งควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ ควรมีการทดลองเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ว่าแคทีชินสามารถใช้รักษามะเร็งปอดในมนุษย์ได้
-
อาจส่งผลดีต่อภาวะสุขภาพจิต
น้อยหน่าอุดมไปด้วยแมกนีเซียมและวิตามินบี 6 ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอย่างโดพามีน (Dopamine) หรือสารแห่งความสุข และเซโรโทนิน (Serotonin) หรือสารต้านความซึมเศร้า ซึ่งหากในร่างกายมีสารดังกล่าวในปริมาณน้อยกว่าที่ควร อาจส่งผลให้เกิดความเครียด หรือเป็นโรควิตกกังวลได้ การบริโภคน้อยหน่า จึงอาจช่วยป้องกันความเครียดหรือภาวะซึมเศร้าได้
งานวิจัยชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับประสิทธิภาพของแมกนีเซียมและวิตามินบี 6 ในรูปแบบอาหารเสริมต่อสภาพจิตใจและคุณภาพชีวิตของผู้ใหญ่ที่มีความเครียด เผยแพร่ในวารสาร Stress Health พ.ศ. 2564 นักวิจัยแบ่งอาสาสมัครซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงแต่มีภาวะเครียดและเครียดอย่างรุนแรงออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้รับประทานแมกนีเซียม 300 กรัม/วัน ส่วนอีกกลุ่มให้รับประทานแมกนีเซียม 300 กรัม/วัน กับวิตามินบี 6 อีก 30 กรัม/วัน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์เท่า ๆ กัน แล้วเปรียบเทียบความแตกต่าง พบว่า ในกลุ่มอาสาสมัครที่มีการบริโภคแมกนีเซียมร่วมกับวิตามินบี 6 ช่วยลดความเครียดได้มากกว่าการบริโภคแมกนีเซียมเพียงอย่างเดียว งานวิจัยสรุปว่า การบริโภคแมกนีเซียมเพียงอย่างเดียว หรือบริโภคร่วมกับวิตามินบี 6 ทุกวัน ล้วนมีประโยชน์ต่อการช่วยลดความเครียดอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนั้น งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง ว่าด้วยบทบาทของสารโดพามีนในการควบคุมพฤติกรรมที่เข้าข่ายอาการวิตกกังวล ตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Iranian Medicine ปี พ.ศ. 2558 รายงานว่า หากสารสื่อประสาทต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ อาจนำไปสู่ภาวะเครียดหรือวิตกกังวลได้ และมีหลักฐานจำนวนหนึ่งสนับสนุนว่า สารโดพามีนอาจมีบทบาทสำคัญต่อสมองส่วนต่าง ๆ ในการจัดการอาการของโรคซึมเศร้า
-
อาจช่วยบำรุงสายตาได้
น้อยหน่าอุดมไปด้วยสารลูทีน (Lutein) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตา การบริโภคน้อยหน่าจึงอาจช่วยเสริมสร้างสุขภาพดวงตาให้ดีขึ้น
การศึกษาชิ้นหนึ่ง ว่าด้วยประโยชน์ของลูทีนต่อการบำรุงสายตาในผู้ป่วยโรคต้อกระจก ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition ปี พ.ศ. 2546 นักวิจัยทดลองให้อาสาสมัครที่เป็นโรคต้อกระจกจำนวน 17 ราย รับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของลูทีน และยาหลอก เป็นเวลา 3 ปี แล้ววัดผลเปรียบเทียบกัน พบว่า อาสาสมัครกลุ่มที่บริโภคอาหารเสริมลูทีนมีการมองเห็นและอาการตาแพ้แสงดีขึ้นกว่ากลุ่มที่บริโภคยาหลอก
ดังนั้น สรุปได้ว่า การบริโภคลูทีน อาจช่วยบรรเทาอาการต้อกระจก และยังมีส่วนช่วยรักษาสุขภาพดวงตาอีกด้วย
-
อาจส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร
น้อยหน่าอุดมไปด้วยใยอาหารที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและการทำงานของลำไส้ ซึ่งส่งผลให้มีอาการท้องผูกลดลง ทั้งนี้ น้อยหน่า 1 ถ้วย มีใยอาหารประมาณ 5 กรัม หรือมากกว่าปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวันราว 17 เปอร์เซ็นต์ การบริโภคน้อยหน่า จึงอาจช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร
งานวิจัยชิ้นหนึ่ง เกี่ยวกับประโยชน์ของใยอาหารต่อสุขภาพ ตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients ปี พ.ศ. 2565 โดยนักวิจัยได้ศึกษาวรรณกรรมทางการแพทย์หลายชิ้นที่รายงานเกี่ยวกับประโยชน์ของใยอาหาร พบว่า ประโยชน์ของใยอาหารเป็นที่รู้จักมากที่สุด ในแง่ของการช่วยส่งเสริมการทำงานของลำไส้ รวมถึงการป้องกันอาการท้องผูก โดยวรรณกรรมทางการแพทย์หลาย ๆ ชิ้นสนับสนุนว่า ใยอาหารอาจมีคุณสมบัติในการป้องกันอาการท้องผูกเรื้อรัง รวมถึงอาการท้องผูกเนื่องมาจากโรคลำไส้แปรปรวน
ข้อควรระวังในการบริโภค น้อยหน่า
แม้ว่าน้อยหน่าจะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่การบริโภคน้อยหน่าอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายได้ เนื่องจาก
น้อยหน่า มีสารที่เรียกว่า แอนโนนาซิน (Annonacin) ซึ่งอาจเป็นพิษต่อสมอง และระบบประสาทได้ โดยพบมากที่สุดตามเมล็ดและเปลือกน้อยหน่า ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ควรล้างทำความสะอาดเปลือกน้อยหน่าทุกครั้ง และควรบริโภคเฉพาะเนื้อน้อยหน่า และระมัดระวังการเผลอกลืนเมล็ดน้อยหน่าเข้าสู่ร่างกาย
สตรีมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร สามารถบริโภคน้อยหน่าได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคในปริมาณมาก และควรบริโภคผักและผลไม้ให้หลากหลายเพื่อบำรุงร่างกายและได้รับปริมาณสารอาหารครบถ้วน