น้ำขิงเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่ช่วยดับกระหายและยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย หลายคนอาจมีคำถามว่า น้ำขิงช่วยอะไร น้ำขิงอุดมไปด้วยสารต้านอนุมลอิสระที่มีฤทธิ์ต้านอักเสบ และมีรสชาติเผ็ดร้อนจึงกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกระตุ้นการเผาผลาญได้ดี อีกทั้งยังมีสรรพคุณในการบรรเทาปวด อาจช่วยลดอาการแพ้ท้อง บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย และอาจใช้เป็นการรักษาเสริมสำหรับโรคข้อเข่าเสื่อมได้ นอกจากนี้ ขิงยังเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยในการใช้งานสูงและมีผลข้างเคียงน้อยด้วย
[embed-health-tool-bmr]
คุณค่าทางโภชนาการของน้ำขิง
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture หรือ USDA) ระบุว่า ขิง 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 80 กิโลแคลอรี่ และมีสารอาหารต่าง ๆ เช่น
- คาร์โบไฮเดรต 17.8 กรัม (แบ่งเป็นไฟเบอร์หรือใยอาหาร 2 กรัม และคาร์โบไฮเดรตชนิดอื่น เช่น น้ำตาล แป้ง อีก 1.7 กรัม)
- โปรตีน 1.82 กรัม
- ไขมัน 0.75 กรัม
- โพแทสเซียม 415 มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม 43 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 16 มิลลิกรัม
- โซเดียม 13 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ ขิงยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 3 วิตามินบี 6 สังกะสี แมงกานีส ทองแดง ที่อาจให้ประโยชน์แก่ร่างกาย ทั้งยังมีสารจินเจอรอล (Gingerol) ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพหลักในขิงสดที่ทำให้ขิงมีกลิ่นฉุนและรสเผ็ด สารนี้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด กระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน และบรรเทาปวดได้ดี
น้ำขิงช่วยอะไร มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไร
ขิงซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของน้ำขิงมีสารอาหารและสารพฤกษเคมีหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพของขิงหรือน้ำขิง ดังนี้
อาจช่วยลดอาการแพ้ท้อง
ขิงมีสารประกอบ เช่น สารจินเจอรอล สารโชกาออล (Shogaol) ที่ช่วยรักษาสมดุลของกระบวนการย่อยอาหารด้วยการเร่งให้ย่อยอาหารได้ให้เร็วขึ้น จึงมีส่วนช่วยในการลดอาการคลื่นไส้อาเจียนในผู้หญิงตั้งครรภ์ได้
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Obstetrics & Gynecology เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2544 ศึกษาเรื่อง การใช้ขิงเพื่ออาการคลื่นไส้อาเจียนระหว่างตั้งครรภ์ โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้หญิงตั้งครรภ์จำนวน 70 คน ที่อายุครรภ์ไม่เกิน 17 สัปดาห์และมีอาการแพ้ท้อง พบว่า กลุ่มผู้หญิงตั้งครรภ์ที่รับประทานขิงปริมาณ 1 กรัม/วัน มีอาการแพ้ท้องน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกลุ่มที่รับประทานยาหลอก จึงอาจสรุปได้ว่า ขิงมีสรรพคุณช่วยลดอาการคลื่นไส้ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของการแพ้ท้องที่มักเกิดขึ้นช่วงไตรมาสที่ 1 ของการตั้งครรภ์ได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ก่อนเสมอ
อาจช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยเรื้อรังได้
สารให้ความเผ็ดร้อนในขิงอย่างสารจินเจอรอลอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับอาหารออกจากกระเพาะอาหาร ทำให้อาหารผ่านกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้ได้เร็วขึ้น ทั้งยังช่วยกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหาร จึงอาจช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินทางอาหาร และบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยเรื้อรังได้
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร World Journal of Gastroenterology เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 ศึกษาเกี่ยวกับ ฤทธิ์ของขิงต่อการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารและฤทธิ์ต่ออาการของโรคกระเพาะอาหารแปรปรวนโดยไม่ทราบสาเหตุ (Functional dyspepsia) โดยการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างอดอาหาร 8 ชั่วโมง ก่อนจะให้รับประทานซุปที่มีสารอาหารต่ำ หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง จึงให้กลุ่มแรกรับประทานผงรากขิงปริมาณ 1.2 กรัม ส่วนกลุ่มที่ 2 รับประทานยาหลอก ผลปรากฎว่า กลุ่มที่รับประทานขิงมีความเร็วในการบีบอาหารออกจากกระเพาะอาหารรวดเร็วกว่ากลุ่มที่รับประทานยาหลอก โดยกลุ่มที่รับประทานขิงใช้เวลา 12 นาทีครึ่ง ในขณะที่ผู้ที่ได้รับยาหลอกใช้เวลา 16.1 นาที อีกทั้งกระเพาะอาหารของกลุ่มที่รับประทานขิงยังบีบตัวได้ถี่กว่า จึงอาจสรุปได้ว่า การรับประทานขิงหรือน้ำขิงมีส่วนช่วยกระตุ้นการบีบอาหารออกจากกระเพาะอาหารและเพิ่มการบีบตัวของทางเดินอาหารในผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารแปรปรวนที่มีอาการอาหารไม่ย่อยได้
อาจช่วยรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
ขิงมีสารจินเจอรอลที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ จึงอาจช่วยรักษาโรคที่เกิดจากข้อต่ออักเสบ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee osteoarthritis) ซึ่งเป็นโรคข้อเสื่อมที่เกิดจากการเสื่อมของกระดูก ทำให้มีภาวะอักเสบ และส่งผลต่อการทำงานของกระดูกข้อต่อ ซึ่งมักส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Clinical Orthopaedics and Trauma ฉบับเดือนตุลาคม-ธันวาคม พ.ศ. 2561 ศึกษาเกี่ยวกับ โภชนเภสัช (Nutraceuticals) หรืออาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพที่ใช้ในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมในประเทศอินเดีย พบว่า การรับประทานขิงสามารถลดปริมาณสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ เช่น ซี-รีแอคทีฟ โปรตีน (C-reactive Protein) ไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่รับประทานยาหลอก จึงอาจสรุปได้ว่า ขิงสามารถลดภาวะข้อเข่าอักเสบของผู้ป่วยได้ แต่ยังต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติมต่อไป
ข้อควรระวังในการบริโภคน้ำขิง
ข้อควรระวังในการบริโภคขิงและน้ำขิง อาจมีดังนี้
- ขิงมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือดจึงอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้า ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดจึงควรงดการดื่มน้ำขิงอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออกมากทั้งในระหว่างผ่าตัดและหลังผ่าตัดได้
- ควรดื่มน้ำขิงในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะการดื่มน้ำขิงในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องและอาการเสียดท้องได้
- ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน จึงอาจส่งผลให้เกิดแผลร้อนในภายในช่องปากได้ ควรดื่มน้ำขิงในปริมาณที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำขิงเมื่อเป็นแผลในปาก
- สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำขิงในช่วงใกล้คลอด เพราะขิงอาจกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และอาจทำให้เกิดปัญหาเลือดออกมากในระหว่างคลอดและหลังคลอด อีกทั้งน้ำขิงยังอาจไม่ปลอดภัยสำหรับสตรีมีครรภ์ที่มีประวัติแท้งบุตรหรือมีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือดด้วย ก่อนรับประทานขิง ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ก่อนเสมอ