ผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว ต้องการควบคุมน้ำหนัก รวมถึงผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอย่าง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบเผาผลาญของร่างกาย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการควบคุมปริมาณของคาร์โบไฮเดรต เพื่อไม่ให้เป็นปัจจัยที่จะไปทำให้เกิดอาการทางสุขภาพ ดังนั้น การรับประทาน อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ จึงมีส่วนช่วยให้ระดับคาร์โบไฮเดรตในร่างกายมีความสมดุล และลดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ วันนี้ Hello คุณหมอ ได้รวบรวมเอารายการอาหารที่มี คาร์โบไฮเดรตต่ำ มาฝากคุณผู้อ่านทุกคนค่ะ
อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ ใกล้ตัว มีอะไรบ้าง
อาหารที่มี คาร์โบไฮเดรตต่ำ สามารถจำแนกออกเป็นประเภทได้หลายประเภท และผู้บริโภคสามารถที่จะเลือกรับประทานได้ตามความชอบและความเหมาะสม ดังนี้
อาหารประเภทผัก
ถึงแม้ผักจะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินหลากหลายชนิด แต่ผักก็ยังให้ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่จำเป็นต่อร่างกายอยู่ แต่ถ้าหากต้องการสารอาหารจากผักและต้องการผักที่ให้คาร์โบไฮเดรตน้อยด้วย ควรเลือกผักดังต่อไปนี้
- ผักโขม ในบรรดาผักทั้งหลาย ผักโขมให้ปริมาณของคาร์โบไฮเดรตน้อยที่สุด เพราะให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 1 กรัม เท่านั้น
- ผักที่ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 2 กรัม มีผักหลายชนิดที่ให้คาร์โบไฮเดรตมากกว่าผักโขมเล็กน้อย ได้แก่ อะโวคาโด และหน่อไม้ฝรั่ง
- ผักที่ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 3 กรัม ได้แก่ กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี บวบ และผักคะน้า
- ผักที่ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 4 กรัม ได้แก่ บร็อคโคลี่ และถั่วเขียว
- ผักที่ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 5 กรัม ได้แก่ กะหล่ำดาว (Brussels sprouts)
อาหารประเภทผลไม้
ผลไม้ก็เช่นเดียวกับผัก แม้สารอาหารหลักจะเป็นวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ แต่ผลไม้บางชนิดก็ให้คาร์โบไฮเดรตที่สูง แต่ถ้าต้องการผลไม้ที่อร่อย เต็มไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร และมี คาร์โบไฮเดรตต่ำ ควรเลือกรับประทาน
- ราสพ์เบอร์รี่ รับประทาน 1 ถ้วย (60กรัม) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 3 กรัม
- แบล็คเบอร์รี่ รับประทาน 1 ถ้วย (70กรัม) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 4 กรัม
- สตรอว์เบอร์รี่ รับประทานขนาดกลาง 8 ผล (100กรัม) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 6 กรัม
- ลูกพลัม รับประทานขนาดกลาง 1 ผล (65กรัม) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 7 กรัม
- ส้มคลีเมนไทน์ (clementine) รับประทานขนาดกลาง 1 ผล (75กรัม) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 8 กรัม
- กีวี่ รับประทานขนาดกลาง 1 ผล (70กรัม) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 8 กรัม
- เชอร์รี่ รับประทานครึ่งถ้วย (75กรัม หรือ 12 ผล) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 8 กรัม
- บลูเบอร์รี่ รับประทานครึ่งถ้วย (75กรัม) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 9 กรัม
- แคนตาลูป รับประทาน 1 ถ้วย (160กรัม) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 11 กรัม
- ลูกพีช รับประทานขนาดกลาง 1 ผล (150กรัม) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 13 กรัม
อาหารประเภทถั่ว
ถั่วทุกชนิดอุดมไปด้วยไขมันดี วิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์มากมาย การรับประทานถั่วเป็นประจำ อาจมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ ซึ่งถั่วที่มี คาร์โบไฮเดรตต่ำ (ต่อการรับประทานครั้งละ 100 กรัม) ได้แก่
- ถั่วพีแคน ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 4 กรัม
- ถั่วบราซิล (Brazil nuts) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 4 กรัม
- แมคาเดเมีย ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 5 กรัม
- เฮเซลนัท ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 7 กรัม
- ถั่ววอลนัท ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 7 กรัม
- ถั่วลิสง ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 8 กรัม
- อัลมอนด์ ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 9 กรัม
อาหารประเภทเนื้อสัตว์และไข่
อาหารประเภทเนื้อสัตว์และไข่แทบจะไม่มีคาร์โบไฮเดรตอยู่เลย หรือหากมีแต่ก็มีน้อยจนแทบไม่ถึง 1 กรัม เว้นแต่เพียงตับ ที่ให้ปริมาณของ คาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยให้คาร์โบไฮเดรตประมาณ 5 กรัม
อาหารทะเลและปลา
เช่นเดียวกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เพราะอาหารทะเลและเนื้อปลาก็แทบจะไม่มีปริมาณของสารคาร์โบไฮเดรตอยู่เลย แต่ถึงจะมีก็ให้ปริมาณของคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ เช่น อาหารจำพวกหอย ซึ่งให้ปริมาณของคาร์โบไฮเดรตอยู่ที่ 4-5 กรัม (ต่อการรับประทาน100กรัม)
ผลิตภัณฑ์จากนม
ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม เป็นอีกหนึ่งประเภทอาหารที่ให้ คาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่มีไขมันที่สูง หากต้องการไขมันและไม่ต้องการคาร์โบไฮเดรต อาหารประเภทนี้จัดว่าเหมาะสมแก่ความต้องการ
- ชีส ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 1.3 กรัม
- เฮวี่ครีม (Heavy Cream) หรือครีมสำหรับใช้ทำวิปปิ้งครีม ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 3 กรัม
- กรีก โยเกิร์ต (Greek Yogurt) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 4 กรัม
- โยเกิร์ตแบบธรรมดา (Full-Fat Yogurt) ให้คาร์โบไฮเดรตเพียง 5 กรัม
แม้อาหารที่มี คาร์โบไฮเดรตต่ำ จะมีผลดีต่อการควบคุมน้ำหนัก และลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้ดี อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และออกกำลังกายควบคู่เพื่อประโยชน์สูงสุดของการมีสุขภาพที่ดี
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmr]