สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมถือเป็นจุดเริ่มต้นสู่การมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว พฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย ทานอาหารมีประโยชน์ งดทานหวาน มัน เค็ม ล้วนแต่มีส่วนช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และห่างไกลจากโรค NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคอ้วน ซึ่งนสามารถนำไปสู่โรคแทรกซ้อนได้หลายโรค ทั้งยังเป็นภาระด้านสุขภาพในระยะยาวอีกเช่นกัน
ผู้ที่กำลังเริ่มต้นเส้นทางการลดน้ำหนัก และใส่ใจดูแลสุขภาพ อาจมองหาวิธีการที่จะทำให้ลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลชัดเจน นอกเหนือจากการดูแลตัวเอง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเนือยนิ่ง หลายๆ คนอาจกำลังสนใจมองหาตัวเลือกในการรักษาอย่างเช่นการผ่าตัด หรือการใช้ยา ตัวเลือกที่อยู่ภายใต้การแนะนำของคุณหมอเหล่านี้ จะมีอะไร ให้ผลอย่างไรบ้าง และจะเหมาะกับคนกลุ่มไหนบ้าง บทความนี้รวมเอาไว้ให้แล้ว
ทำความรู้จักตัวเลือกช่วยลดน้ำหนัก มีอะไรบ้าง
สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ควรรู้ คือตัวเลือกช่วยลดน้ำหนัก เป็นเพียงตัวช่วยเสริมที่ควรทำควบคู่ไปกับการมีพฤติกรรมที่เหมาะสม อย่างเช่น การทานอาหารแคลอรี่ต่ำ ทานผักผลไม้ รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรอยู่ภายใต้การแนะนำของคุณหมอเท่านั้น
โดยตัวเลือกเหล่านี้ ได้แก่ การผ่าตัด และการใช้ยาลดน้ำหนัก ซึ่งมีทั้งการรับประทานและการฉีด1
การผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนัก
การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก เป็นการผ่าตัดเพื่อลดขนาดกระเพาะให้เล็กลง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และลำไส้ ขึ้นกับชนิดของการผ่าตัดฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความอยากอาหารไปด้วย วิธีนี้สามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 70% ของน้ำหนักส่วนเกินน้ำหนักตัว2 โดยการรักษาประเภทนี้เหมาะกับผู้ที่มีเงื่อนไขดังต่อไปนี้3
- มีอายุมากกว่า 18 ปี
- มีค่า BMI มากกว่า 37 กก./ม2 หรือ 32.5 กก./ม2 พร้อมโรคร่วมที่สัมพันธ์กับโรคอ้วน (เกณฑ์สำหรับชาวเอเชีย)
- ลดความอ้วนด้วยวิธีอื่นมาก่อนและไม่ได้ผล
- ไม่มีโรคทางจิตเวชและข้อห้ามในการผ่าตัด
ภายหลังจากการผ่าตัด ควรดูแลตนเองอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาอ้วนซ้ำ หรือต้องเผชิญกับผลข้างเคียงซึ่งเป็นอาการอันไม่พึงประสงค์ เช่น
- คลื่นไส้ ซึ่งมีสาเหตุจากการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทานเร็วเกินไป รู้สึกแน่นท้อง
- อาเจียน มักเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง หรือทานด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม ร่างกายอาจยังปรับสภาพไม่ทัน รวมถึงอาหารไม่สามารถผ่านกระเพาะได้สำเร็จ
- ภาวะขาดน้ำ เกิดจากการดื่มของเหลวไม่เพียงพอ ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ลิ้นมีสีขาวเคลือบ และปัสสาวะมีสีเข้ม
- ท้องผูก เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังการผ่าตัด อุจจาระอาจมีกลิ่นเหม็น หรือมีสีแตกต่างจากปกติ เมื่อร่างกายปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ก็จะกลับมาเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง
- ท้องอืด การผ่าตัดจะทำให้ลำไส้มีขนาดสั้นลง จึงเกิดก๊าซที่มีกลิ่นแรงหรือมีก๊าซที่ออกจากร่างกายมาก
แม้ว่าการผ่าตัดจะช่วยรักษาโรคอ้วนได้ แต่สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองภายหลังการผ่าตัด เพื่อไม่ให้กลับมาโยโย่ โดยควรรับประทานอาหารตามแผนโภชนาการที่คุณหมอและนักโภชนาการกำหนดให้ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ4,5
การทานยาลดน้ำหนัก
ถือเป็นทางเลือกเสริมที่ควรทำควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เหมาะสำหรับผู้ที่ มี BMI ตั้งแต่ 30 กก./ม2 ขึ้นไป หรือตั้งแต่ 27 กก./ม2 ขึ้นไปและมีโรคร่วมที่เกี่ยวเนื่องกับความอ้วน ที่สำคัญคือจะต้องไม่ได้อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์
สิ่งสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับยาลดน้ำหนัก คือคุณสมบัติและผลข้างเคียงของยาแต่ละตัว ซึ่งแตกต่างกันออกไป ตัวยาต่อไปนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีการนำมาใช้เพื่อช่วยลดน้ำหนักเท่านั้น
- ยาในกลุ่มลดการดูดซึมไขมัน เหมาะสำหรับผู้ที่ มี BMI ตั้งแต่ 30 กก./ม2 ขึ้นไป หรือตั้งแต่ 27 กก./ม2 ขึ้นไปและมีโรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวเนื่องกับความอ้วน อย่างไรก็ตามยาในกลุ่มนี้สามารถลดการดูดซึมไขมันได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมดของปริมาณไขมันทั้งหมดที่รับประทานเข้าไป โดยอาจมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ เช่น มีน้ำมันปนออกมากับอุจจาระ ปวดอุจจาระบ่อยกว่าปกติ ควบคุมการถ่ายลำบาก รู้สึกไม่สบายท้อง ผายลมบ่อย และส่งผลให้วิตามินชนิดที่ละลายในไขมันถูกดูดซึมลดลง6 งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ยาในกลุ่มนี้สามารถลดน้ำหนักได้ 6.2% โดยเฉลี่ย
- ยาเลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 มีหน้าที่ควบคุมระบบเผาผลาญและระบบทางเดินอาหารเป็นหลัก เดิมทีจัดเป็นยารักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมีประสิทธิภาพในการช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด มีทั้งแบบทานและแบบฉีด ด้วยความที่กลไกการทำงานส่วนหนึ่งของยานี้ คือ ชะลอการบีบตัวของกระเพาะอาหาร และออกฤทธิ์ต่อความรู้สึกอยากอาหารในสมอง จึงมีผลข้างเคียงในการลดน้ำหนักไปในตัว7 จากงานวิจัยพบว่ายาในกลุ่มนี้ ช่วยลดเส้นรอบเอว ระดับไขมัน ระดับน้ำตาลในเลือด และลดเอนไซม์ตับ ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากการใช้ยานี้ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ และปวดท้อง8 อาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงแรกของการใช้ยาและจะค่อยๆ ทุเลาลงตามลำดับ งานวิจัยพบว่ายากลุ่มนี้ช่วยลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 7.9% – 20.9% ของน้ำหนักส่วนเกินน้ำหนักตัว
การฉีดยาลดน้ำหนัก
ยาฉีดลดน้ำหนักจัดเป็นยารุ่นใหม่ มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน “อินครีติน” (Incretin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนธรรมชาติในร่างกาย ทำหน้าที่ลดน้ำหนักด้วย 2 กลไกหลัก คือควบคุมความหิว และทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว เหมาะกับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีภาวะโรคอ้วน คือ BMI มากกว่า 30 กก./ม2 หรือมีภาวะน้ำหนักเกิน คือ BMI ตั้งแต่ 27 กก./ม2 ขึ้นไป พร้อมโรคร่วม
ในปัจจุบันฮอร์โมนชนิดนี้ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นยา 2 ชนิด คือ GIP (Glucose-Insulinotropic Polypeptide) และ GLP-1 (Glucagon-Like Peptide-1) ซึ่งถูกนำมาใช้ใน 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
- กลุ่มยาที่กระตุ้นตัวรับ GLP-1
- กลุ่มยาที่กระตุ้นสองตัวรับทั้ง GIP และ GLP-1
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาทั้ง 2 กลุ่ม มักเป็นอาการของทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องเสีย ซึ่งเป็นอาการที่ไม่รุนแรงและสามารถบรรเทาได้ด้วยการกินมื้อเล็กๆ เคี้ยวให้ละเอียด และเลี่ยงอาหารมันจัด หรืออาหารประเภททอด
อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนการใช้ยา เพื่อวางแผนและกำหนดเป้าหมายการรักษา เนื่องจากยาฉีดลดน้ำหนักมีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีภาวะบางอย่าง จึงอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนบางกลุ่ม ที่สำคัญคือการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง ปรับปริมาณโดสหรือหยุดใช้ยาเอง เพราะอาจส่งผลอันตรายต่อสุขภาพได้
ได้มีการวิจัยเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาทั้ง 2 กลุ่ม โดยผลลัพธ์ที่ได้คือยาในกลุ่ม GLP-1 สามารถลดน้ำหนักเฉลี่ยได้ 14.7% ของน้ำหนักส่วนเกินน้ำหนักตัว ในขณะที่ยากลุ่ม GIP และ GLP-1 สามารถลดได้ถึง 21.6%
อย่างไรก็ตาม การฉีดยาลดน้ำหนักควรอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์เท่านั้น และควรใช้เป็นเพียงตัวช่วยเสริม ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย และทานอาหารอย่างเหมาะสม9

แม้การลดน้ำหนัก อาจเป็นเรื่องที่ฟังดูท้าทาย สิ่งสำคัญคือการไม่ย่อท้อ และมีกำลังใจในการทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ เพื่อการมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน
[embed-health-tool-bmi]




















