ปอดอักเสบหรือปอดบวม เป็นโรคจากการติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือไวรัสที่ปอด ซึ่งกลุ่มเสี่ยงของโรค ได้แก่ เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ สำหรับ อาการปอดอักเสบ นั้น มักมีไข้ ไอ หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว เจ็บหน้าอก ไม่อยากอาหาร เป็นต้น
[embed-health-tool-heart-rate]
ปอดอักเสบคืออะไร
ปอดอักเสบ (Pneumonia) หรือบางครั้งเรียกว่าปอดบวม เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อรา เชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย ที่ปอดข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง ซึ่งส่งผลให้ปอดมีอาการอักเสบหรือบวม และมีของเหลวหรือหนองอยู่ข้างใน
โดยทั่วไป หากป่วยด้วยโรคปอดอักเสบ มักมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัส มากกว่าเชื้อรา และโรคปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ยังพบได้บ่อยกว่าโรคปอดอักเสบจากไวรัส และเมื่อเป็นแล้ว มักมีอาการป่วยที่รุนแรงกว่าด้วย
นอกจากนี้ ปอดอักเสบอาจเป็นสาเหตุของอาการป่วยขั้นรุนแรงและอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะหากผู้ป่วยเป็นทารก เด็กเล็ก คนชรา หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ในปี พ.ศ. 2562 ปอดอักเสบคร่าชีวิตเด็กไป 740,180 ราย หรือคิดเป็น 14 เปอร์เซ็นต์ของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั้งหมดที่เสียชีวิตในปีดังกล่าว
ในประเทศไทย สถิติของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม พ.ศ. 2565 ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 มีจำนวนทั้งสิ้น 179,211 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบ 176 ราย
อาการปอดอักเสบ เป็นอย่างไร
โดยทั่วไป เมื่อป่วยเป็นปอดอักเสบ ร่างกายจะเริ่มแสดงอาการหลังปอดติดเชื้อแล้วประมาณ 24-48 ชั่วโมง และในบางครั้ง อาจใช้เวลาหลายวันกว่าร่างกายจะแสดงอาการ
เมื่อเป็นโรคปอดอักเสบ จะมีอาการดังต่อไปนี้
- มีไข้ ซึ่งอาจสูงถึง55 องศาเซลเซียส
- ไอ มีเสมหะ
- หมดแรง อ่อนเพลีย
- หายใจเร็วกว่าปกติ
- หายใจลำบาก
- หัวใจเต้นเร็ว
- เหงื่อออกหรือหนาวสั่น
- เจ็บหน้าอกหรือเจ็บท้อง โดยเฉพาะเมื่อไอหรือหายใจเข้าลึก
- ไม่อยากอาหาร
- ผิวหนังเป็นสีเขียวหรือน้ำเงิน เนื่องจากการขาดออกซิเจน
- มึนงง หรือมีสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไป
ทั้งนี้ นอกจากอาการข้างต้นแล้ว โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส ยังมีอาการเริ่มต้นคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่ร่วมด้วย คือ ไอแห้ง ปวดหัว และปวดกล้ามเนื้อ โดยอาการดังกล่าวมักแย่ลงภายใน 1-2 วัน
นอกจากนี้ หากทารกหรือเด็กเล็กป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ มักมีอาการแตกต่างจากเด็กที่โตกว่าหรือผู้ใหญ่ ดังนี้
- คำราม และอาจหายใจเสียดัง
- ไม่สบายตัว
- ปัสสาวะน้อยลง
- ผิวซีด
- ปวกเปียก ไม่มีแรง
- ร้องไห้มากกว่าปกติ
- ไม่อยากอาหาร
ใครเสี่ยงต่อโรคปอดอักเสบบ้าง
ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรค ปอดอักเสบ มากกว่าคนทั่วไป ได้แก่
- เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับปอดและหัวใจ
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท ซึ่งทำให้กลืนอาหารลำบาก เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคพาร์กินสัน
- ผู้ที่นอนโรงพยาบาลหรือต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเป็นเวลานาน
- ผู้ที่สูบบุหรี่
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เนื่องจากการติดเชื้อเอชไอวี รับยาเคมีบำบัด ยากดภูมิคุ้มกัน หรือเคยได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
ปอดอักเสบ หายเองได้หรือไม่
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคปอดอักเสบระดับไม่รุนแรงหรือไม่รบกวนดำเนินชีวิตประจำวัน อาจหายเองได้ภายใน 3-5 วันหรือ 1 เดือน หากดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ควรไปพบคุณหมอ หากพบอาการปอดอักเสบ และอยู่ในกลุ่มที่เสี่ยงต่ออาการป่วยระดับรุนแรงรวมถึงการเสียชีวิตจากโรค
ทั้งนี้ หากไปพบคุณหมอ คุณหมอจะรักษาด้วยการจ่ายยาลดไข้ ยาแก้อักเสบ รวมถึงยาฆ่าเชื้อรา ไวรัส หรือแบคทีเรียให้
นอกจากนี้ ในบางราย คุณหมออาจรักษาเพิ่มเติม ด้วยการให้ออกซิเจน ให้น้ำเกลือ หรือดูดของเหลวออกจากปอดให้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
ปอดอักเสบ ป้องกันได้อย่างไร
เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคปอดอักเสบ ควรปรับพฤติกรรมดังนี้
- ล้างมือสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงในการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
- งดสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่ทำให้ปอดเสียหาย อีกทั้งเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อเพราะสารนิโคตินทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ
- จำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและเป็นประจำทุกวัน มีผลทำให้ระบบป้องกันโรคของปอดทำงานแย่ลง
- ออกกำลังกาย เลือกบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย รวมถึงนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ รวมถึงโรคที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เป็นโรคปอดอักเสบ เช่น วัคซีนโรคโควิด-19 วัคซีนโรคนิวโมคอคคัล (Pneumococcal Disease)