ไข้ไทฟอยด์ (Typhoid) เป็นโรคที่พบได้ยาก เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า ซัลโมเนลลา ไทฟิ (Salmonella Typhi) โดยแบคทีเรียชนิดนี้สามารถแพร่กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกาย จนอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่าง ๆ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทั้งยังอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดไข้ไทฟอบด์อาจพบได้ในน้ำและอาหาร หรืออาจเกิดจากการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ มีไข้สูง ท้องผูก และท้องเสีย
คำจำกัดความ
ไข้ไทฟอยด์ คืออะไร
ไข้ไทฟอยด์ (Typhoid) เป็นโรคที่พบได้ยาก เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า ซัลโมเนลลา ไทฟิ (Salmonella Typhi) โดยแบคทีเรียชนิดนี้สามารถแพร่กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกาย จนอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่าง ๆ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทั้งยังอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดไข้ไทฟอบด์อาจพบได้ในน้ำและอาหาร หรืออาจเกิดจากการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ มีไข้สูง ท้องผูก และท้องเสีย
ไข้ไทฟอยด์พบได้บ่อยเพียงใด
ไข้ไทฟอยด์อาจเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในวัยเด็กอาจมีความเสี่ยงในการเป็นไข้ไทฟอยด์มากที่สุด แต่อาการในเด็กนั้นอาจจะมีความรุนแรงน้อยกว่าในผู้ใหญ่
อาการ
อาการของไข้ไทฟอยด์
โดยปกติอาการของไข้ไทฟอยด์อาจมีระยะฟักตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์ และจะแสดงอาการเจ็บป่วยในช่วง 3-4 สัปดาห์ โดยอาจลักษณะอาการที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้
- ปวดศีรษะ
- อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
- มีไข้สูงถึง 40.5 องศาเซลเซียส
- เหงื่อออก
- ไอแห้ง
- เบื่ออาหาร
- อาการท้องผูก
- ผื่น
- ท้องบวมมาก
ควรไปพบหมอเมื่อใด
ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์และระดับความรุนแรงของคุณ
สาเหตุ
สาเหตุไข้ไทฟอยด์
ไข้ไทฟอยด์มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า ซัลโมเนลลา ไทฟิ (Salmonella Typhi) และอาจเกิดจาจกสาเหตุอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
- การติดเชื้อทางปาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจได้รับเชื้อไทฟอยด์ขณะเดินทางไปยังประเทศที่ยังด้อยพัฒนา เนื่องจากสาธารณูปโภคที่ไม่ดี การรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด เป็นต้น
- พาหะอุจจาระ ถึงแม้ว่าผู้ป่วยไข้ไทฟอยด์จะได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแล้วก็ตาม แต่ก็อาจยังมีเชื้อที่เป็นพาหะของโรคอยู่ ซึ่งอาจแพร่กระจายเชื้อโรคสู้ผู้อื่นได้
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของไข้ไทฟอยด์
- ทำงานหรือเดินทางไปยังประเทศที่มีผู้ป่วยไข้ไทฟอยด์
- สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ หรือพึ่งติดเชื้อไข้ไทฟอยด์
- ทำงานเป็นนักจุลชีววิทยาที่ต้องทำงานหรือดูแลเรื่องของแบคทีเรียซัลโมเนลลา ไทฟิ
- ดื่มน้ำที่ปนเปื้อนจากสิ่งปฏิกูลที่มีเชื้อซัลโมเนลลา ไทฟิ
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยไข้ไทฟอยด์
คุณหมออาจทำการตรวจร่างกายและสอบถามเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นยังอาจใช้การทดสอบอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนี้
- อีไลซา (Enzyme-linked Immunosorbent Assay หรือ ELISA) คือ การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยภาวะการติดเชื้อต่าง ๆ ของร่างกาย
- การตรวจหาแอนติเจนของเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา ไทฟิ ด้วยสารเรืองแสงและกล้องจุลทรรศน์ฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งสารเรืองแสงอาจจับกับแอนติเจนที่จำเพาะของเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา ไทฟิได้
- การตรวจปริมาณของเกล็ดเลือด (Platelet count)
- ตรวจอุจจาระ
การรักษาไข้ไทฟอยด์
สำหรับผู้ป่วยไข้ไทฟอยด์ คุณหมออาจใช้วิธีการรักษาด้วยยาปฎิชีวนะ เช่น ยาคลอแรมเฟนิคอล ( Chloramphenicol) ในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง (ประมาณ 3%-5%) อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาเป็นระยะเวลานาน ๆ เพื่อกำจัดถุงน้ำดี ซึ่งเป็นแหล่งของเชื้อแบคทีเรีย
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อบรรเทาอาการไข้ไทฟอยด์
เนื่องจากการรับวัคซีนอาจไม่สามารถป้องกันไข้ไทฟอยด์ได้ ดังนั้นการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไข้ไทฟอยด์อาจทำได้ ดังนี้
- ล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารหรือเวลาเตรียมอาหาร ก่อนและหลังเข้าห้องน้ำ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานผักและผลไม้ดิบ เช่น ผักกาดหอม
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สุก สะอาด ปลอดภัย นอกจากนั้น อาจหลีกเลี่ยงการซื้ออาหารริมถนนที่อาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย