ไอ เป็นอาการที่ร่างกายตอบสนองต่อการระคายเคืองของสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจทำให้ทราบถึงอาการป่วยในระยะแรกและสัญญาณเตือนของโรคต่าง ๆ เช่น โรคไข้หวัดธรรมดา โรคไข้หวัดใหญ่ โรคโควิด-19 เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยหรือรักษาได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องรอให้อาการหนักรุนแรง
[embed-health-tool-bmi]
ไอ คืออะไร
ไอ คือ กระบวนการตอบสนองของร่างกาย เมื่อมีสิ่งระคายเคืองหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ เช่น ฝุ่น น้ำมูก ละอองน้ำหอม เชื้อแบคทีเรีย โดยการระคายเคืองนั้นจะกระตุ้นเส้นประสาทที่ส่งไปยังสมองสั่งให้เกิดอาการไอ เพื่อช่วยขับสิ่งแปลกปลอมที่ส่งผลให้ระคายเคืองออกมา
อาการไอแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
- อาการไอแห้ง เป็นอาการไอที่ไม่มีเสมหะ เนื่องจากไม่มีเสมหะ หรือน้ำมูกอุดตันอยู่ในปอดหรือทางเดินหายใจ แต่อาจส่งผลให้มีอาการคอแห้ง ระคายเคืองภายในลำคอ และเจ็บคอ โดยอาการไอแห้งอาจเกิดขึ้นเมื่อเป็นกรดไหลย้อน การเจ็บป่วย สำลักอาหาร สูบบุหรี่ และผลข้างเคียไองจากยาบางชนิด
- อาการไอแบบมีเสมหะ เป็นอาการไอที่มาพร้อมกับเสมหะในลำคอ มีลักษณะเป็นเมือกสีขาวใส สีขาวขุ่น สีเขียว สีเหลือง ที่อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การติดเชื้อไวรัส เป็นสัญญาณเตือนแรกของอาการเจ็บป่วย ที่ควรเข้ารับการรักษาหรือรับประทานยาแก้ไอและลายเสมหะ เพราะหากภายในปอดมีเสมหะมากเกินไปอาจนำไปสู่การหายใจลำบากได้
อาการไอดังกล่าว อาจเกิดขึ้นได้แบบเฉียบพลันหรืออาจเรื้อรังเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ดังนั้น จึงควรสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วม เพื่อเช็กตนเองว่ากำลังเจ็บป่วยอยู่หรือไม่ เช่น มีไข้สูง ไอเป็นเลือด หายใจเสียงดังฮืด ๆ อาการหนาวสั่นหรือร้อนวูบวาบ มีน้ำมูก เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร รู้สึกอ่อนเพลียและไม่มีเรี่ยวแรง เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรับการรักษาได้อย่างเหมาะสมตามสาเหตุที่เป็น
ไอ เป็นสัญญาณเตือนของโรคอะไร
อาการไอ อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคต่าง ๆ ดังนี้
- โรคไข้หวัดธรรมดา
- โรคไข้หวัดใหญ่
- โรคหอบหืด
- โรคภูมิแพ้
- โรคปอดบวม
- โรคพังผืดในปอด
- โรคโควิด-19
- โรคไซนัสอักเสบ
- โรคหลอดลมอักเสบ
- โรคกล่องเสียงอักเสบ
- โรคถุงลมโป่งพอง
- โรคลิ่มเลือดอุดตันในปอด
- โรคมะเร็งปอด
- ภาวะหัวใจล้มเหลว
- ภาวะไอกรน
- วัณโรค
วิธีรักษาอาการไอ
วิธีรักษาอาการไอ อาจทำได้ดังนี้
ยา
- ยาแก้ไอ ที่มีในรูปแบบเม็ด และสารละลาย เพื่อช่วยบรรเทาอาการไอ และลดอาการบวมอักเสบของอวัยวะภายในระบบทางเดินหายใจ ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาด้วยตัวเองหรือเข้าพบคุณหมอหากมีอาการเจ็บป่วยร่วมด้วย โดยควรแจ้งให้อาการให้ทราบอย่างละเอียดเพื่อรับยาแก้ไอชนิดที่เหมาะสม
- ยาปฏิชีวนะ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไอจากการเจ็บป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเป็นยาที่ควรได้รับจากใบสั่งยาจากคุณหมอโดยตรง เพื่อช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย
- ยาต้านไวรัส เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไอจากการติดเชื้อไวรัส เพื่อช่วยต้านไวรัสที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจจนส่งผลให้เจ็บป่วยและมีอาการไอ โดยควรได้รับการอนุญาตจากคุณหมอตามใบสั่งยา
- ยาอื่น ๆ เช่น ยาลดน้ำมูก เพื่อช่วยลดน้ำมูกที่ลงคอที่อาจช่วยลดเสมหะได้ ยาแก้ปวดและยาลดไข้ เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อและลดไข้
ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน
- ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิห้องให้มาก ๆ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในลำคอ ลดอาการเจ็บคอ คอแห้ง และอาจช่วยขจัดสิ่งแปลปลอมในปอดให้ขับออกมาเป็นเสมหะได้ง่ายขึ้น
- เคี้ยวอาหารให้ละเอียดอย่างช้า ๆ เพื่อป้องกันการสำลักที่ทำให้ไอ
- หลีกเลี่ยงการสูดดมสารระคายเคือง เช่น ละอองเกสรดอกไม้ ละอองน้ำหอม ขนสัตว์เลี้ยง สารเคมีจากยาย้อมผม สีทาเล็บ หรือสารเคมีในที่ทำงาน หรืออาจใส่หน้ากากอนามัยเพื่อช่วยคัดกรองสารระคายเคือง บรรเทาอาการไอนอกจากนี้ควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ทุกครั้งหลังจากสัมผัส
- หลีกเลี่ยงการนำมือไปสัมผัสกับดวงตา จมูกและปาก โดยไม่ล้างมือ เพราะอาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจทำให้เกิดการระคายเคืองและไอหรือเจ็บป่วยได้
- กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ โดยนำน้ำอุ่น 1 แก้ว ผสมกับเกลือ ½ ช้อนชา และกลั้วคอจากนั้นบ้วนทิ้ง ซึ่งเป็นวิธีที่อาจช่วยขจัดเชื้อแบคทีเรียและสิ่งแปลปลอม บรรเทาอาการระคายเคืองคอที่ทำให้เกิดอาการไอและเจ็บคอ
- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือที่ใช้สำหรับทางการแพทย์ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา เพื่อช่วยขจัดน้ำมูกในโพรงจมูก เพราะหากน้ำมูกมากเกินไปอาจลงไปยังลำคอกลายเป็นเสมหะทำให้หายใจลำบากได้
- หยุดสูบบุหรี่เพราะสารพิษในบุหรี่ทำให้อาการไอแย่ลงและกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
- เข้ารับการฉีดวัคซีนตามที่คุณหมอกำหนด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคที่ส่งผลให้ไอ และบรรเทาอาการรุนแรงเมื่อเจ็บป่วย อีกทั้งควรเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อตรวจคัดกรองโรค