อ่อนเพลีย อาการอ่อนเพลียเป็นอาการที่พบได้บ่อยในช่วงตั้งครรภ์ระยะแรก เนื่องจากเมื่อท้อง ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเพศที่ชื่อว่าโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อช่วยให้การตั้งครรภ์ดำเนินไปตามปกติ และช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง จึงส่งผลให้อ่อนเพลียง่าย ง่วงนอนบ่อย เหนื่อยได้ง่าย หรืออาจนอนหลับไม่เต็มอิ่ม
ร่างกายคนท้องมักต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อให้ตัวเองและเด็กในท้องมีพลังงานเพียงพอ จึงเป็นเรื่องปกติที่คนท้องส่วนใหญ่จะอยากรับประทานอาหารที่ให้พลังงานและแคลเซียมสูง เช่น นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว ของหวาน ช็อกโกแลต ไอศกรีม และอาจไม่ชอบอาหารที่เคยชอบรับประทานก่อนท้อง หรืออาจมีภาวะเกลียดอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างรุนแรง (Food aversion) เนื่องจากประสาทรับกลิ่นและรสชาติของคนท้องมักไวขึ้นหรือแปลกไปจากเดิม
ตรวจตั้งครรภ์ เร็วสุดกี่วัน
หลังจากตั้งครรภ์แล้ว ปริมาณฮอร์โมนตั้งครรภ์ในร่างกายจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุครรภ์ที่มากขึ้น หากต้องการใช้ที่ตรวจครรภ์ให้ได้ผลลัพธ์แม่นยำที่สุด ควรตรวจครรภ์หลังจากประจำเดือนขาดไปอย่างน้อย 6 วัน เนื่องจากเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนเอชซีจีในปัสสาวะและเลือดสูงจนสามารถตรวจจับได้แล้ว หากตรวจครรภ์เร็วกว่านี้ อาจทำให้ผลตรวจครรภ์คลาดเคลื่อนได้
หากใช้ชุดตรวจครรภ์ด้วยตัวเอง ควรตรวจครรภ์ในช่วงเช้าหรือหลังจากตื่นนอน เนื่องจากระดับฮอร์โมนในปัสสาวะจะเข้มข้นที่สุดเพราะไม่ได้ดื่มน้ำมาตลอดทั้งคืน โดยทั่วไปแล้วชุดตรวจการตั้งครรภ์ที่บ้านจะมีทั้งหมด 3 แบบ คือ ที่ตรวจครรภ์แบบจุ่ม (Pregnancy Test Strip) ที่ตรวจครรภ์แบบปัสสาวะผ่าน (Pregnancy Midstream Tests) และที่ตรวจครรภ์แบบหยด (Pregnancy Test Cassette) หากบริเวณแถบแสดงผลปรากฏเป็นขีด 2 ขีด แสดงว่ากำลังตั้งครรภ์
นอกจากนี้ ผู้ที่สงสัยว่าตั้งครรภ์สามารถไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลได้เช่นกัน หรือหากตรวจครรภ์ด้วยตัวเองแล้วก็ควรไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อยืนยันผลการตั้งครรภ์ ขั้นตอนการตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลอาจทำได้โดยการเก็บตัวอย่างปัสสาวะไปตรวจการตั้งครรภ์จากปัสสาวะในห้องปฏิบัติการ (Urine Pregnancy test) หรือที่เรียกว่ายูพีที (UPT) หากพบว่ามีระดับฮอร์โมนตั้งครรภ์ตั้งแต่ 25 mIU/ml ขึ้นไป แสดงว่าตั้งครรภ์ หรืออาจตรวจการตั้งครรภ์จากเลือด ด้วยการเจาะเลือดไปวัดระดับฮอร์โมนตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นวิธีตรวจครรภ์ที่ให้ผลแม่นยำมากที่สุด
การดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ระยะแรก
การดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ระยะแรก อาจทำได้ดังนี้
- เมื่อทราบแน่ชัดว่าตั้งครรภ์ ควรเข้าฝากครรภ์ทันที โดยทั่วไปคุณหมออาจซักประวัติ ตรวจร่างกายทั่วไป และแนะนำแนวทางการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมในช่วงตั้งครรภ์ คนท้องควรไปตรวจครรภ์ตามนัดหมายตลอดการตั้งครรภ์ เพื่อตรวจสอบว่า สุขภาพของคนท้องและเด็กในท้องเป็นไปตามอายุครรภ์หรือไม่ และเพื่อตรวจคัดกรองโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับทั้งคนท้องและเด็กในท้อง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและหลากหลาย โดยควรแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ อย่างน้อย 5-6 มื้อ/วัน เพื่อลดอาการแน่นท้อง อาจช่วยป้องกันท้องผูกและกรดไหลย้อนได้
- รับประทานกรดโฟลิควันละ 0.4 มิลลิกรัม ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์หรือในช่วงวางแผนตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือนต่อเนื่องไปจนถึงอายุครรภ์ 3 เดือน เพื่อป้องกันเด็กเกิดภาวะพิการแต่กำเนิด และรับประทานธาตุเหล็กให้เพียงพอเพื่อบำรุงเลือดหากคนท้องมีภาวะโลหิตจางหรือมีอาการแพ้ท้องรุนแรง สำหรับคนท้องที่แพ้ท้องรุนแรง คุณหมออาจให้เริ่มรับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็กในช่วงไตรมาสที่ 2 หรือเดือนที่ 4-6 ของการตั้งครรภ์
- รับวัคซีนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโควิด-19
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8-10 ชั่วโมง หาเวลางีบกลางวันอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง และควรเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเองและพักผ่อนอย่างเต็มที่
- คนท้องไม่ควรทำงานหักโหม ออกกำลังกายหนัก ยกของหนัก หรืออยู่ในที่อากาศร้อนจนเกินไป เพราะอาจทำให้อ่อนเพลียได้ง่ายยิ่งขึ้น หรือเสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพหรืออุบัติเหตุได้
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดและงดสูบบุหรี่ตั้งแต่ช่วงวางแผนการตั้งครรภ์
- จำกัดการบริโภคเครื่องดื่มคาเฟอีนไม่ให้เกิน 200 มิลลิกรัม/วัน หรือเลือกดื่มเครื่องดื่มอื่น ๆ แทน เช่น น้ำผลไม้ไม่เติมน้ำตาลหรือสารปรุงแต่ง นมวัว
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย