คำแนะนำเกี่ยวกับการ ให้นมลูก โดยทั่วไปคือ ทารกควรได้รับน้ำนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน ทำให้คุณแม่หลายคนอาจหยุดให้นมลูกเมื่อครบ 6 เดือน แต่องค์การอนามัยโลกและองค์การยูนิเซฟได้ให้คำแนะนำว่า ควรให้ลูกกินนมแม่ต่อเนื่องไปจนอายุครบ 2 ปี เพื่อให้ทารกได้รับสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและการเจริญเติบโตอย่างเต็มเปี่ยม นอกจากนี้ ยังอาจสามารถช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของลูก และช่วยลดความเสี่ยงการเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้อีกด้วย
[embed-health-tool-bmi]
ให้นมลูก นานแค่ไหนจึงจะดี
นมแม่ได้รับการรับรองว่าเป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุดในการเลี้ยงทารก โดยองค์การอนามัยโลกแนะนำว่า การให้นมลูกควรเริ่มต้นตั้งแต่ชั่วโมงแรกของชีวิต และต่อเนื่องไปจนถึงหกเดือน โดยให้นมแม่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องเพิ่มอาหารเสริมใดๆ และหลังจากหกเดือนจึงค่อยเพิ่มอาหารเสริมที่เหมาะกับวัยเข้ามา
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่า แม่ควรหยุดให้นมลูกเมื่ออายุ 6 เดือน แต่ยังควรให้นมลูกต่อเนื่องไปยาวนานกว่านั้น โดยองค์การอนามัยโลกและองค์การยูนิเซฟ ให้คำแนะนำตรงกันว่า แม่ควรจะให้นมลูกต่อเนื่องไปจนถึงสองปีหรือมากกว่านั้น
องค์กรด้านสุขภาพหลายองค์กรในสหรัฐฯ ก็ให้คำแนะนำที่บ่งชี้ไปถึงประโยชน์ของการให้นมแม่นานกว่าหกเดือนแทบทั้งสิ้น อย่างเช่นสมาคมกุมารแพทย์สหรัฐฯ แนะนำว่า ควรให้นมแม่ต่อเนื่องไปจนอย่างน้อยในขวบปีแรกของเด็ก และนานกว่านั้นตราบเท่าที่ต้องการ การเพิ่มระยะเวลาของการให้นมแม่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็ก และต่อสุขภาพของทั้งเด็กและแม่อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่มีขีดจำกัดของระยะเวลาในการให้นมแม้ และไม่มีหลักฐานว่ามีอันตรายทางจิตใจใดๆ เกิดขึ้นจากการให้นมแม่จนถึงสามขวบหรือนานกว่านั้น
สมาคมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวสหรัฐฯ ก็ให้คำแนะนำเช่นกันว่า ควรให้นมลูกตลอดขวบปีแรก และยังชี้ว่าช่วงเวลาการหย่านมตามธรรมชาตินั้น อยู่ระหว่างอายุสองถึงเจ็ดปี
ความเข้าใจผิดเรื่องคุณค่าของนมแม่หลังขวบปีแรก
การที่แม่หลายคนหยุดให้นมลูกหลังจากหกเดือน ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่แม่ต้องกลับไปทำงาน และไม่สะดวกต่อการให้นมลูก อย่างไรก็ตาม เทคนิคการปั๊มนมแม่เพื่อเก็บไว้ให้ลูกกิน สามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ กระนั้นก็ตาม สิ่งที่เป็นอุปสรรคมากกว่า อาจจะมาจากความเชื่อที่ว่า หลังจากหกเดือน คุณค่าอาหารของนมแม่จะเริ่มลดลง และหลังจากหนึ่งปีเป็นต้นไป นมแม่ก็จะไม่มีประโยชน์ต่อเด็กเท่ากับการกินอาหารหรือนมอย่างอื่น
การศึกษาหลายชิ้นในสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่า นี่เป็นความเชื่อที่ผิดอย่างมหันต์ โดยการศึกษาชิ้นหนี่งเมื่อปี 2005 ระบุว่า นมแม่ในช่วงเวลาที่นานเกินหนึ่งปีขึ้นไปนั้น มีไขมันและสารให้พลังงานเพิ่มมากขึ้น ส่วนการศึกษาในปี 2001 ชี้ว่า นมแม่ยังคงให้สารอาหารหลักที่จำเป็นในปริมาณสูง แม้จะเลยปีแรกไปแล้ว โดยเฉพาะโปรตีน ไขมัน และวิตามินจำนวนมาก รวมทั้งปัจจัยในการสร้างภูมิคุ้มกันก็เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นในช่วงปีที่สอง และในระหว่างการหย่านมแม่
ให้นมลูก นานเกิน 1 ปี มีประโยชน์อย่างไร
ไม่เพียงแต่การศึกษาที่ยืนยันถึงคุณค่าของนมแม่ ซึ่งไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใดในขวบปีต่อมา ยังมีการศึกษาอีกหลายชิ้นที่พบว่า เด็กอายุที่ยังกินนมแม่จนหนึ่งถึงสามขวบ เจ็บป่วยน้อยกว่า หรือป่วยในระยะสั้นกว่า และมีอัตราการตายต่ำกว่า โดยองค์การอนามัยโลกยืนยันถึงความสำคัญของการให้นมแม่ ในการรักษาและป้องกันการเจ็บป่วยในเด็ก และประกาศว่าการเพิ่มขึ้นของการให้นมแม่เพียงแค่เล็กน้อย ก็สามารถป้องกันการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบ ได้เพิ่มมากขึ้นถึง 10%
ประโยชน์ของการให้นมแม่นานขึ้น ยังมีมากกว่าแค่เรื่องร่างกาย งานวิจัยชี้ว่ายิ่งเด็กกินนมแม่นานแค่ไหน ก็จะยิ่งมีพัฒนาการในเรื่องการรับรู้และความจำดีขึ้น (เมื่อวัดจากไอคิวและคะแนนในการเรียนในช่วงวัยต่อมา) การศึกษาชิ้นอื่นๆ ก็ชี้ว่า เด็กที่กินนมแม่นานกว่า มีพัฒนาการทางสังคมที่ดี และมีอัตราของการเกิดปัญหาสุขภาพจิตต่ำกว่า ทั้งในช่วงวัยเด็ก จนถึงวัยผู้ใหญ่
สมาคมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวสหรัฐฯ ระบุว่า การให้นมแม่ต่อเนื่องให้การปกป้องทางภูมิคุ้มกันแก่เด็ก การปรับตัวทางสังคมที่ดีกว่า เป็นแหล่งอาหารที่ดีของเด็ก และช่วยแม่ในการลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ อย่างเช่นมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งเยื่อบุมดลูก โรคกระดูกพรุน โรคข้อรูมาตอยด์ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวานชนิดที่สอง
การให้นมแม่ยังเป็นการคุมกำเนิดตามธรรมชาติ เพราะจะทำให้แม่กลับสู่วัยเจริญพันธุ์ช้าลง นอกจากนี้แล้ว หากคุณแม่กังวลเรื่องน้ำหนักหลังคลอด การศึกษาก็ชี้ว่าแม่ที่ให้นมลูกสามารถลดน้ำหนักได้ง่ายกว่า และนี่ก็ยังไม่ได้พูดถึงข้อดีที่ว่า การให้นมแม่นั้นเป็นวิธีการที่ประหยัดที่สุดในการเลี้ยงดูบุตร