โรคเครียด เป็นภาวะทางสุขภาพจิตที่เกิดจากการเผชิญปัญหา แรงกดดัน หรือสิ่งไม่คาดคิดในชีวิต ซึ่งความเครียดเป็นปฏิกริยาตอบสนองทางร่างกายและจิตใจ เมื่อรู้สึกถึงการคุกคาม หรือภัยอันตราย ปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกายจะตอบสนองต่อความเครียด เมื่อเครียดอัตราการเต้นของหัวใจอาจเพิ่มขึ้น หายใจถี่ขึ้น กล้ามเนื้อหดตัว โดยโรคเครียดมักมีอาการ 3 วันถึง 1 เดือนหลังจากประสบเหตุการณ์ที่ทำให้เครียด แต่หากมีอาการมากกว่า 1 เดือน อาจเสี่ยงเกิดภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง (Post-Traumatic Stress Disorder หรือ PTSD)
คำจำกัดความ
โรคเครียด คืออะไร
โรคเครียด คือ ภาวะที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ เช่น การเห็นรถชน คนเสียชีวิต เมื่อร่างกายอยู่ในภาวะตึงเครียดอาจส่งผลต่อฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดที่สร้างจากต่อมหมวกไต เมื่อเครียดต่อมหมวกไตจะหลั่งคอร์ติซอลมากขึ้น หากร่างกายมีคอร์ติซอลมากเกินไปอาาจส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ขึ้น และอาจส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ และอารมณ์ เช่น ความวิตกกังวล ความกลัว
โรคเครียด พบได้บ่อยเพียงใด
โรคเครียดสามารถพบเจอได้ทุกเพศทุกวัย โดยภาวะความตึงเครียดของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะของสถานการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ
อาการ
อาการของโรคเครียด
อาการของโรคเครียด อาจแสดงลักษณะอาการที่แตกต่าง โดยอาจสังเกตอาการได้ดังต่อไปนี้
อาการทางด้านร่างกาย
- คลื่นไส้
- ปวดศีรษะ ปวดท้อง
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เนื่องจากกล้ามเนื้อเกร็งหรือหดตัว
- อารมณ์ทางเพศลดลง
- ปัญหาการนอนหลับ อาจทำให้อ่อนเพลีย
อาการทางด้านอารมณ์
- หงุดหงิดง่าย โมโห อารมณ์เสียง่าย หรืออารมณ์แปรปรวน
- รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่ร่าเริง รู้สึกไม่มีค่า
- รู้สึกกดดันอยู่เสมอ
- ไม่อยากพบเจอผู้คน
อาการทางความคิด
- มีความขัดแย้งทางความคิด
- หลงลืม และอาจไม่สามารถจัดเรียงลำดับความสำคัญก่อนและหลัง
- การตัดสินใจบกพร่อง
- สมาธิสั้น หรือไม่มีสมาธิจดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานาน
- มองโลกในแง่ลบ
อาการทางด้านพฤติกรรม
- ความอยากอาหารเปลี่ยนไป คือ รับประทานอาหารมากขึ้น หรือน้อยลง
- หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อหน้าที่
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่
- มีอาการประหม่า เช่น กัดเล็บ มือหรือขากระตุก อยู่ไม่นิ่ง
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
หากมีอาการดังกล่าวมาเป็นเวลานานกว่า 1 เดือน ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และรับการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรง
สาเหตุ
สาเหตุของโรคเครียด
โรคเครียดอาจเกิดจากหลายสาเหตุ สาเหตุส่วนใหญ่คือการพบเจอกับสถานการณ์หรือเหตุการณ์อันตรายร้ายแรง เช่น
- ทราบข่าวการเสียชีวิตของคนรัก หรือคนในครอบครัว
- ถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือรับรู้เกี่ยวกับการล่วงละเมิดในครอบครัว
- ถูกข่มขืน
- ประสบอุบัติเหตุจนเกือบเสียชีวิต เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์
- ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงโรคเครียด
ความเครียดเล็กน้อย หรือเครียดเป็นบางครั้งอาจไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเครียดบ่อยจนอาจกลายเป็นโรคเครียดเรื้อรัง อาจทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพร่างกายได้ เช่น
- ปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ
- ปัญหาประจำเดือน อาจมาน้อย หรือมาผิดปกติ
- ปัญหาด้านผิวหนังและผม เช่น สิว กลาก ผมร่วง
- ปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะอาหาร
- ความผิดปกติทางเพศ เช่น หลั่งเร็ว สูญเสียความต้องการทางเพศ
- การรับประทานอาหารเพิ่มขึ้น อาจส่งผลทำให้เกิดโรคอ้วน
- โรคหัวใจและหลอดเลือด หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ได้ ควรปรึกษาคุณหมอสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยโรคเครียด
บุคคลที่เคยประสบกับสถานการณ์ที่ร้ายแรง หรือสถานการณ์ตึงเครียด ควรไปพบคุณหมอหรือนักจิตวิทยา เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยถึงสาเหตุ โดยอาจมีการสอบถามประวัติ และประสบการณ์ที่พบเจอ เพื่อประเมินอาการของโรคเครียด และอาจการวินิจฉัยว่าโรคเครียดอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ หรือไม่ เช่น การใช้สารเสพติด ผลข้างเคียงของยา ปัญหาทางด้านจิตเวช
วิธีรักษาโรคเครียด
การรักษาโรคเครียด อาจดูตามสถานการณ์ของอาการ โดยวิธีการรักษาโรคเครียดอาจมีวิธีการรักษาดังต่อไปนี้
- การบำบัดพฤติกรรม (Cognitive Behavior Therapy หรือ CBT) เป็นวิธีจิตบำบัด โดยการพูดคุยแลกเปลี่ยน มีกระบวนการที่จะปรับความคิด เพื่อให้อารมณ์เศร้าดีขึ้น
- การใช้ยา คุณหมออาจจ่ายยารักษาโรคเครียดให้ผู้ป่วยบางราย เช่น ยาแก้ซึมเศร้า (Antidepressant) ยากันชัก (Anticonvulsant) ที่อาจช่วยปรับระดับสารสื่อประสาทในสมอง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรม ให้สมดุลยิ่งขึ้น
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองที่ช่วยรับมือโรคเครียด
การป้องกันโรคเครียดอาจเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม วิธีดูแลตนเองต่อไปนี้ อาจช่วยป้องกันไม่ให้อาการของโรคเครียดรุนแรงขึ้น หรือกลับมาเป็นซ้ำ
- ปรึกษาคุณหมอหรือนักจิตวิทยาหลังพบเจอสถานการณ์ที่ร้ายแรง
- พบปะพูดคุยสังสรรค์กับเพื่อน หรือบุคคลในครอบครัว
- พยายามฝึกทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ
- ออกกำลังกายเบา ๆ หรือเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสม่ำเสมออาจช่วยบรรเทาความเครียด
- หาเวลาทำงานอดิเรก เช่น ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ