ในบางเดือน ผู้หญิงหลายคนอาจพบว่า ตกขาวเป็นน้ำใสๆ หรือมีตกขาวมากขึ้นเล็กน้อย ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากลักษณะและปริมาณของตกขาวจะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละรอบเดือน ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของฮอร์โมน และความสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด หากรู้สึกว่าตกขาวเปลี่ยนแปลง อาจเกิดจากได้จากหลายปัจจัย เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด การตั้งครรภ์ ช่องคลอดระคายเคือง
 
ทั้งนี้ หากตกขาวเปลี่ยนแปลงร่วมกับมีอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น อาการแสบ คัน บวม แดง ระคายเคืองช่องคลอด ตกขาวมีกลิ่น ตกขาวเปลี่ยนสี อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับช่องคลอดที่ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี
[embed-health-tool-ovulation]
ตกขาวเป็นน้ำใสๆ เกิดจากอะไร
ตกขาว คือ มีเมือกใสๆออกมาจากช่องคลอด ทำหน้าที่ดักจับสิ่งสกปรกและรักษาความสะอาดภายในช่องคลอด โดยปกติตกขาวจะมีปริมาณและความเหนียวข้นแตกต่างกันไปในรอบเดือนตามระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง หากพบว่า ตกขาวเป็นน้ำใสๆ มีปริมาณหรือสีที่แตกต่างจากปกติเล็กน้อย แต่ไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีกลิ่นเหม็น จับตัวเป็นก้อน มีสีผิดปกติอย่างสีเหลือง มีอาการคันหรือแสบ อาจไม่ได้เป็นสัญญาณของภาวะสุขภาพที่เป็นอันตราย แต่เป็นเพียงลักษณะของตกขาวที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลาของแต่ละเดือนเท่านั้น
สาเหตุที่ทำให้ตกขาวเปลี่ยนไป
ตกขาวที่มีปริมาณ สี หรือเนื้อสัมผัสต่างจากปกติ อาจเกิดแบคทีเรียภายในช่องคลอดเสียสมดุลจากปัจจัยดังตัวอย่างต่อไปนี้
- การตั้งครรภ์ ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงตั้งครรภ์ อาจส่งผลให้ผนังช่องคลอดนิ่มและตกขาวเคลื่อนตัวได้ง่าย ทำให้มีตกขาวออกมาจากช่องคลอดมากขึ้น
 - การใช้ยาคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดมีส่วนประกอบของโปรเจสตินซึ่งเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ออกฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้สารคัดหลั่งในช่องคลอดเพิ่มปริมาณเพื่อทำให้ให้อสุจิเคลื่อนไหวได้ยากขึ้น
 - โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองในเทียม (Chlamydia) โรคหนองในหรือหนองในแท้ (Gonorrhoea) อาจทำให้ตกขาวผิดปกติ เช่น มีปริมาณมากขึ้นเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีเขียว
 - โรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงและเสี่ยงติดเชื้อราหรือยีสต์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ตกขาวผิดปกติ เช่น เป็นก้อน เหนียวข้นคล้ายชีส
 - การสวนล้างช่องคลอด การล้างช่องคลอดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออาจทำให้ภายในช่องคลอดระคายเคือง และส่งผลต่อความสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด ทำให้ปริมาณแบคทีเรียที่มีประโยชน์ลดลง จนเสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายและอาจทำให้ช่องคลอดอักเสบ จนส่งผลให้ตกขาวผิดปกติได้
 - โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis) เป็นโรคติดเชื้อปรสิตที่มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน อาจส่งผลต่อปริมาณและลักษณะของตกขาวได้
 - การติดเชื้อราในช่องคลอด (Yeast infections) การติดเชื้อราในช่องคลอดมักทำให้ตกขาวหนา จับตัวกันเป็นก้อน โดยปกติแล้วจะไม่มีกลิ่น
 - การติดเชื้อแบคทีเรีย ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ตกขาวต่างไปจากเดิม เช่น ทำให้ตกขาวมีกลิ่นคาว ตกขาวเปลี่ยนไปเป็นสีเทาออกขาว ร่วมกับมีอาการระคายเคืองช่องคลอด
 
สัญญาณของภาวะตกขาวผิดปกติ
สัญญาณของภาวะตกขาวผิดปกติ อาจมีดังนี้
สัญญาณของการติดเชื้อราในช่องคลอด
- ตกขาวเหนียวข้นคล้ายชีส จับตัวเป็นก้อน
 - บริเวณอวัยวะเพศเจ็บและบวม
 - มีอาการคันรุนแรง
 - เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
 
สัญญาณของภาวะช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
- ตกขาวมีสีผิดปกติ เช่น สีเทา สีเหลือง
 - ช่องคลอดมีกลิ่นคาว โดยเฉพาะหลังมีเพศสัมพันธ์หรือทำความสะอาดด้วยสบู่
 - บริเวณอวัยวะเพศบวมแดง
 
สัญญาณของโรคพยาธิในช่องคลอด
- ตกขาวเป็นน้ำ ตกขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีเขียว
 - มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาจากช่องคลอด
 - มีตกขาวหลังมีประจำเดือน
 
การรักษาภาวะตกขาวผิดปกติ
ภาวะตกขาวผิดปกติ สามารถรักษาได้ตามสาเหตุของการเกิดโรค วิธีรักษาที่นิยมใช้อาจมีดังนี้
- การติดเชื้อราหรือยีสต์ คุณหมอจะรักษาด้วยการใช้ยาต้านเชื้อรา ในรูปแบบของยาสอดหรือยาเหน็บช่องคลอดแบบเจลหรือครีม เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ช่วยลดอาการคันและแสบช่องคลอด รวมไปถึงรักษาอาการตกขาวผิดปกติ
 - ช่องคลอดอักเสบจากการการติดเชื้อแบคทีเรีย คุณหมอจะรักษาด้วยการใหัรับประทานยาปฏิชีวนะหรือใช้ครีมฆ่าเชื้อ โดยควรรักษาภาวะตกขาวผิดปกติที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic inflmmatory disease)
 - โรคพยาธิในช่องคลอด คุณหมอจะรักษาด้วยการสั่งจ่ายยาเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) หรือยาทินิดาโซล (Tinidazole) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาภาวะติดเชื้อในช่องคลอด
 
เมื่อไหร่ควรไปพบคุณหมอ
หากมีอาการของภาวะตกขาวผิดปกติ หรือภาวะสุขภาพดังต่อไปนี้ ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด
- ตกขาวเปลี่ยนสี มีกลิ่นเหม็นคาว หรือมีเนื้อสัมผัสเปลี่ยนไป
 - ตกขาวมีปริมาณมากกว่าปกติ
 - รู้สึกปวดหรือคันบริเวณอวัยวะเพศร่วมกับการมีตกขาว
 - มีเลือดออกในช่วงที่ไม่ได้เป็นประจำเดือนหรือหลังมีเพศสัมพันธ์
 - รู้สึกเจ็บขณะถ่ายปัสสาวะ
 





















