ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เช็กให้ชัวร์ 9 กลุ่มโรคอันตราย หากเป็นแล้วห้ามขับรถ

การเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มสุรา ความประมาท หรือแม้แต่ปัญหาสภาพอากาศ แต่คุณรู้หรือเปล่าว่า มีสภาวะบางอย่าง ที่หากเป็นแล้ว ไม่ควรที่จะขับรถ เพราะอาจเป็นอันตราย และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ กลุ่มอาการที่ห้ามขับรถ เหล่านั้นมีอะไรบ้าง มาหาคำตอบร่วมกับ Hello คุณหมอ เลยค่ะ 9 กลุ่มอาการที่ห้ามขับรถ มีอะไรบ้างนะ 1. กลุ่มอาการเกี่ยวกับการมองเห็น การขับรถนั้นเป็นทักษะที่จำเป็นต้องใช้การมองเห็นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการบังคับทิศทาง หรือการมองสัญญาณเตือนการจราจรต่างๆ ยิ่งผู้ขับรถมีสมรรถภาพในการมองเห็นมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่ได้มากเท่านั้น การมองเห็นไม่ชัด หรือไม่สามารถจำแนกสีได้ อาจส่งผลกระทบต่อการขับรถเป็นอย่างมาก หากผู้ขับไม่สามารถมองเห็นสิ่งกีดขวางข้างหน้าได้อย่างชัดเจน หรือไม่สามารถแยกแยะสีไฟจราจร ว่าเป็นสีอะไรกันแน่ ก็อาจทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง และนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ ตัวอย่างปัญหาทางสายตา ที่ควรหลีกเลี่ยงการขับรถ มีดังนี้ สายตาเลือนราง โรคต้อกระจก โรคต้อหิน เบาหวานขึ้นจอตา (Diabetic Retinopathy) โรคจอตามีสารสี หรือโรคอาร์พี (Retinitis pigmentosa) การมองเห็นข้างเดียว จากอาการตาบอดหนึ่งข้าง จอประสาทตาเสื่อม ตากระตุก (Nystagmus) ลานสายตาผิดปกติ (Visual field defects) นอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการตาบอดสี และไม่สามารถแยะแยะระหว่าง สีแดง สีเขียว หรือสีเหลือง ซึ่งเป็นสีของสัญญาณไฟจราจร ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงการขับรถ เพราะอาจทำให้มองสัญญาณไฟจราจรไม่ออก และเกิดอุบัติเหตุได้ 2. กลุ่มอาการโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease) โรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ลำไส้อุดตัน (Intestinal Obstruction)

ลำไส้อุดตัน (Intestinal obstruction) หมายถึงภาวะที่มีอาหาร หรือของเหลวอุดตันอยู่ในบริเวณลำไส้ใหญ่หรือลำไส้เล็ก ซึ่งอาจมีได้ทั้งการอุดตันบางส่วน และการอุดตันทั้งหมด คำจำกัดความลำไส้อุดตัน คืออะไร ลำไส้อุดตัน (Intestinal obstruction) หมายถึงภาวะที่มีอาหาร หรือของเหลวอุดตันอยู่ในบริเวณลำไส้ใหญ่หรือลำไส้เล็ก ซึ่งอาจมีได้ทั้งการอุดตันบางส่วน และการอุดตันทั้งหมด อาจจะมีสาเหตุมาจากพังผืดของเนื้อเยื่อในลำไส้ ที่เกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัดลำไส้ การอักเสบในลำไส้เนื่องจากสภาวะบางอย่าง ไส้เลื่อน หรือโรคมะเร็งลำไส้ จนทำให้เกิดการอุดตันในลำไส้ และอาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง และท้องบวมได้ ภาวะลำไส้อุดตันนั้นเป็นภาวะที่อันตราย หากปล่อยไว้ไม่ทำการรักษา อาจทำให้ลำไส้ส่วนที่อุดตันเสียหาย และนำไปสู่สภาวะที่อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลำไส้อุดตัน พบบ่อยแค่ไหน ยังไม่มีงานวิจัยที่จะทำให้สามารถสรุปได้ว่า ภาวะลำไส้อุดตันนั้นสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยแค่ไหน แต่จากข้อมูลพบ่วา ภาวะลำไส้อุดตันนั้นจะพบได้บ่อยกับผู้ที่มีปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับลำไส้ และอาจพบได้ในทารกแรกเกิดที่ระบบทางเดินอาหารยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดปรึกษาแพทย์ อาการอาการของลำไส้อุดตัน สัญญาณและอาการที่พบได้บ่อยของภาวะลำไส้อุดตันมีดังต่อไปนี้ ท้องอืดอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องบวม เบื่ออาหาร ท้องผูก ผายลมไม่ได้ อาการเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาการทั้งหมด ร่างกายของคนเราต่างกัน บางคนก็อาจจะมีอาการนอกเหนือจากอาการที่กล่าวมาข้างต้น โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด เนื่องจากภาวะลำไส้อุดตันนั้นเป็นภาวะที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ หากปล่อยไว้ไม่ทำการรักษาอย่างถูกต้อง หากคุณสังเกตเห็นสัญญาณและอาการของภาวะลำไส้อุดตัน หรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง โปรดเข้ารับการตรวจจากแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยและหาทางรักษาโรคในทันที สาเหตุสาเหตุของลำไส้อุดตัน สาเหตุการณ์เกิดภาวะลำไส้อุดตัน มีดังต่อไปนี้ พังผืดในลำไส้ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของเนื้อเยื่อ มาอุดตันในลำไส้ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคลำไส้กลืนกัน (Intussusception) ไส้เลื่อน ลำไส้อักเสบและอาการบวมของลำไส้ ลำไส้บิด เนื้องอกบางชนิด หลอดเลือดเสียหาย ที่อาจทำให้เนื้อเยื่อในลำไส้ตาย และอุดตันลำไส้ได้ ปัจจัยเสี่ยงปัจจัยเสี่ยงของลำไส้อุดตัน สภาวะบางอย่าง อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะลำไส้อุดตันได้ เช่น การผ่าตัดในช่องท้อง หรือการผ่าตัดลำไส้ โรคโครห์น (Crohn’s Disease) ที่ทำให้ผนังลำไส้หนาขึ้น และอาจทำให้ลำไส้ตีบตันได้ โรคมะเร็งในช่องท้องหรือลำไส้ การวินิจฉัยและการรักษาโรคข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม การวินิจฉัยลำไส้อุดตัน แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

น้ำมันดอกคำฝอย กับสรรพคุณสุดเลิศ จะใช้บำรุงผิว ผม หรือปรุงอาหารก็ดีไม่แพ้กัน

เดี๋ยวนี้คนหันมาใช้น้ำมันจากธรรมชาติในการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะสุขภาพเส้นผมและผิวพรรณ น้ำมันจากธรรมชาติที่คนส่วนใหญ่นึกถึงก็น่าจะเป็นน้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันอาร์แกน น้ำมันงา แต่ยังมีน้ำมันจากธรรมชาติอีกหนึ่งชนิด ที่มีคุณประโยชน์ไม่แพ้น้ำมันอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยม นั่นก็คือ น้ำมันดอกคำฝอย วันนี้ Hello คุณหมอ เลยอยากชวนคุณมาทำความรู้จักกับน้ำมันชนิดนี้ให้มากขึ้น คุณจะได้รู้ว่า น้ำมันดอยคำฝอยมีดีอย่างไร และมีข้อควรระวังในการใช้ยังไงบ้าง ทำความรู้จัก น้ำมันดอกคำฝอย (Safflower oil) ดอกคำฝอย เป็นไม้ล้มลุกในวงศ์ทานตะวัน ดอกมีลักษณะกลมคล้ายดอกดาวเรือง นอกจากคนจะนิยมนำส่วนดอกทั้งสดและแห้ง เกสร และเมล็ดมาทำเป็นยาสมุนไพรแล้ว ก็ยังนิยมนำเมล็ดดอกคำฝอยมาสกัดเอาน้ำมัน จนได้เป็นน้ำมันดอกคำฝอยที่อุดมไปด้วยกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว โดยเฉพาะกรดไลโนเลอิก (Linoleic Acid) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นไขมันดี รวมถึงสารประกอบอื่น ๆ เช่น เบต้าแคโรทีน ที่มีประโยชน์มากมาย จะนำมาบำรุงผิว บำรุงผม หรือบำรุงสุขภาพด้านอื่น ๆ ก็ได้ ประโยชน์สุขภาพของ น้ำมันดอกคำฝอย เป็นแหล่งไขมันดี ที่มีประโยชน์รอบด้าน น้ำมันดอกคำฝอยเป็นแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated fatty acid) ทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีพันธะคู่ 1 ตำแหน่ง (Monounsaturated fatty acid) เช่น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

หน้าแดง อาจไม่ใช่เพราะอาย แต่เป็นเพราะปัญหาสุขภาพเหล่านี้ต่างหากล่ะ

เวลาเห็นใครหน้าแดง หรือแก้มแดง เรามักจะคิดหรือแซวเขาว่าอายอะไร หน้าแดงเชียว แต่คุณรู้ไหมว่าจริง ๆ แล้ว อาการ หน้าแดง ไม่จำเป็นต้องเกิดจากความเขินอายเพียงอย่างเดียว เพราะนี้อาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังมีภาวะสุขภาพบางประการก็ได้ แล้วสาเหตุของอาการหน้าแดงจะมีอะไรบ้าง หน้าแดงขนาดไหนที่ควรรีบไปพบคุณหมอ วันนี้ทาง Hello คุณหมอ มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกัน [embed-health-tool-bmi] ปัญหาสุขภาพที่ส่งผลให้ หน้าแดง ได้ โรคผิวหนังอักเสบ (Eczema) โรคผิวหนังอักเสบ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) สามารถทำให้เกิดอาการหน้าแดง หรือแก้มแดงได้ โดยเฉพาะในเด็กทารก นอกจากจะทำให้หน้าแดงแล้ว โรคผิวหนังอักเสบยังทำให้มีอาการคัน และผิวหนังแห้งลอกอย่างรุนแรงได้ด้วย แม้ในปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะสำหรับโรคผิวหนังอักเสบ แต่โรคนี้ก็สามารถบรรเทาได้ด้วยการใช้ยาที่ช่วยลดอาการบวมแดงและปลอบประโลมผิว โรคผิวหนังอักเสบในเด็กทารกสามารถหายได้เองในผู้ป่วยบางราย หรือในบางกรณี อาการก็จะทุเลาลงเมื่อโตขึ้น วัยหมดประจำเดือน หรือวัยทอง สตรีในวัยหมดประจำเดือนมักมีอาการร้อนวูบวาบ ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนในสมองที่ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป และอาการร้อนวูบวาบนี้มักส่งผลรุนแรงกับบริเวณใบหน้า ลำคอ และหน้าอก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีสีแดงขึ้น รวมถึงมีอาการอื่น ๆ เหล่านี้ด้วย หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อแตก ผิวหนังแดง หรือเป็นตุ่ม มีอาการหนาวสั่นหลังหายร้อนวูบวาบ วิธีบรรเทาอาการร้อนวูบวาบอย่างง่าย ๆ ก็คือ การจิบน้ำเย็น สูดหายใจลึก ๆ และสวมเสื้อผ้าที่เนื้อผ้าบางเบา ตัวหลวม […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ปลายเล็บร่น (Onycholysis)

ปลายเล็บร่น (Onycholysis) เป็นภาวะที่เล็บแยกออกจากผิวหนัง เนื่องจากการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อ นอกจากนั้นยังอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาอื่นๆ อีกด้วย แม้ปลายเล็บร่นจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปพบคุณหมอเป็นการด่วน แต่การดูแลรักษาให้หายก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นทาง Hello คุณหมอ จึงได้นำเรื่องนี้มาฝากกัน คำจำกัดความ ปลายเล็บร่น (Onycholysis) คืออะไร ปลายเล็บร่นเป็นศัพท์ทางการแพทย์ เมื่อเล็บของคุณแยกออกจากผิวหนังที่อยู่ข้างใต้ ซึ่งมันไม่ใช้เรื่องแปลกและสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลายประการ อาการนี้จะคงอยู่เป็นเวลาหลายเดือน เนื่องจากเล็บมือหรือเล็บเท้าจะไม่ติดกลับเข้าไปยังฐานเล็บที่อยู่ใต้เล็บ เมื่อเล็บใหม่งอกขึ้นมาแทนที่เล็บเก่า อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นควรจะหายไป โดยเล็บมือจะใช้เวลา 4-6 เดือนในการงอกใหม่ ส่วนเล็บเท้าอาจจะใช้เวลา 8-12 เดือน อาการอาการของ ปลายเล็บร่น หากคุณกำลังมีอาการปลายเล็บร่น อาการที่คุณสามารถสังเกตได้ก็คือ เล็บของคุณจะเริ่มลอกขึ้นต้านบนหลุดจากฐานเล็บที่อยู่ข้างใต้ โดยปกติจะไม่มีอาการเจ็บปวดในขณะที่เกิดขึ้น โดยเล็บที่ได้รับผลกระทบอาจกลายเป็นสีเหลือง สีเขียว สีม่วง สีขาว หรือสีเทา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ควรไปพบหมอเมื่อใด หากคุณมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการใดๆ ตามที่ระบุข้างต้น หรือมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการตอบสนองแตกต่างกัน ทางที่ดีที่สุดให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ของคุณ สาเหตุสาเหตุของปลายเล็บร่น การบาดเจ็บที่เล็บอาจทำให้เกิดปลายเล็บร่นได้ การสวมรองเท้าที่คับจนเกิดไปก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งเช่นกัน นอกจากนั้นอาการนี้อาจเป็นผลมาจากการแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเล็บ เช่น น้ำยาล้างเล็บเคมี หรือเล็บปลอม ปลายเล็บร่มอาจเป็นอาการของเชื้อราที่เล็บหรือโรคสะเก็ดเงิน ส่วนสาเหตุอื่นๆ ได้แก้ ปฏิกิริยาต่อยา หรือการบาดเจ็บ แม้แต่การเคาะเล็บซ้ำๆ เหมือนตีกลองก็ก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้เช่นกัน บางครั้งปลายเล็บร่นอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อยีสต์ที่ร้ายแรง หรือโรคต่อมไทรอยด์ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

“สักคิ้ว” นวัตกรรมเสริมความงาม เพิ่มมิติใบหน้า ที่สาว ๆ คิ้วบาง ต้องลอง!

ปัจจุบันการเสริมความงามในด้านต่าง ๆ มักได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่สาว ๆ โดยเฉพาะในส่วนบริเวณใบหน้าของพวกเธอที่ต้องใช้เป็นด่านแรกในการพบเจอผู้คนในสังคม ซึ่งการที่จะเพิ่มมิติ หรือความโดดเด่นให้กับคุณนั้นไม่จำเป็นต้องพึ่งการผ่าตัดศัลยกรรมให้เจ็บตัวอย่างเดียว แต่ยังมีอีกสิ่งที่สามารถช่วยดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้างได้เช่นกัน นั่นก็คือการ สักคิ้ว ที่วันนี้ Hello คุณหมอ จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับการเสริมความงามรูปแบบนี้กันค่ะ สักคิ้ว คืออะไร ด้วยคำนิยามทางด้านความงามที่อาจคุ้นหูใครหลายคนอย่าง “คิ้วคือมงกุฎของใบหน้า ดังนั้นการแต่งเติมคิ้ว ดังนั้นการเสริมความงามด้วยวิธี การสักคิ้ว จึงกลายมาเป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ เพราะช่วยให้ผู้หญิงทั้งหลาย สะดวกและประหยัดมากขึ้นในการแต่งหน้ายิ่งขึ้น เนื่องจาก การสักคิ้วถาวร เป็นวิธีเสริมความงามที่เหมาะกับผู้ที่ประสบปัญหาคิ้วบาง ทรงคิ้วไม่เป็นรูป โดยผู้เชี่ยวชาญนิยมใช้นวัตกรรม หรือเทคนิคการสักที่มีชื่อว่า Microblading ลักษณะเข็มสักแบบปลายแบนยาว เหมาะกับการวาดเส้นคิ้วให้เป็นเส้นเรียงตัวสวยเสมือนขนคิ้วจริง อีกทั้งยังมีการจุ่มสีที่คุณสามารถเลือกเฉดสีให้เข้ากับใบหน้าของคุณได้อีกด้วย อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสักคิ้วให้มากขึ้น คุณควรรับรู้ไว้เสียก่อนว่า การสักคิ้วนั้น สามารถทำได้กับผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกฝน และมีใบรับรองเท่านั้น เพราะเนื่องจากเป็นการสักคิ้วที่ใช้เครื่องมือค่อนข้างที่จะสัมผัสกับผิวหนังของเราโดยตรง จึงจำเป็นต้องมีความชำนาญ พร้อมประสบการณ์เฉพาะทางคุณถึงจะมั่นใจได้ว่าได้รับความปลอดภัย หรือได้รับผลข้างเคียงหลังสักน้อยที่สุด ข้อเสียของการ สักคิ้ว ที่คุณควรรู้ นอกจากการสักคิ้วจะเป็นการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้คิ้วของคุณนั้นมีมิติมากขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงมีความเสี่ยงอีกหลายกรณี ดังนี้ ที่ควรศึกษาไว้ เพื่อประกอบการพิจารณาก่อนการตัดสินใจเข้ารับการสัก การติดเชื้อ บางครั้งอุปกรณ์การสักก็อาจเป็นการนำภาหะของเชื้อแบคทีเรียบางอย่างเข้าสู่ร่างกายเราได้อย่างง่ายดาย เพราะการสักนั้นเป็นการใช้เข็มฝังเม็ดสีลงไปผิวหนังโดยตรง ที่สำคัญคุณควรสังเกตเข็มสักให้ดีว่าสถานบริการที่คุณเลือกมีการเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ทุกครั้งหรือไม่ รวมทั้งมีการใช้หมึกซ้ำกับผู้สักคนก่อนหรือเปล่า เพราะไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายคุณได้ถึงแม้จะเป็นเพียงการสักแบบแผลเล็กก็ตาม เกิดเป็นแผลเป็นนูน หากคุณมีแนวโน้ม หรือเคยประสบกับปัญหาของแผลเป็นนูน ที่เรียกว่า […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เท้าเหม็น จนแทบสลบ เกิดจากอะไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

การมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ไม่ใช่เรื่องตลก โดยเฉพาะกับ กลิ่นเท้า ที่เหม็นหนักมาก ถอดรองเท้าออกมาทีกลิ่นแทบจะพาคนรอบข้างสลบ หรือต่อให้ไม่ถอดรองเท้าก็ยังได้กลิ่นเล็ดลอดออกมาอยู่ดี นี่เป็นปัญหาสุขภาพที่ทำให้ใครหลายคนหมดความมั่นใจกันมานักต่อนักแล้ว และถ้าใครที่กำลังประสบกับปัญหา เท้าเหม็น อยู่ล่ะก็ วันนี้ Hello คุณหมอ มีวิธีป้องกันเท้าเหม็นและเคล็ดลับการดูแลเท้ามาฝากค่ะ ทำไมถึง เท้าเหม็น อาการเท้าเหม็น (Bromodosis) เป็นปัญหาทั่วไปที่เกิดขึ้นได้กับใครหลายคน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการที่เหงื่อออกบริเวณเท้า ยิ่งเหงื่อออกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของอาการเท้าเหม็นมากเท่านั้น โดยเหงื่อที่ออกมานั้นก็จะทำให้เกิดอาการอับชื้น เมื่อเกิดการอับชื้นขึ้นที่เท้า ก็จะเป็นการกระตุ้นให้แบคทีเรียที่ผิวหนังบริเวณเท้ามีการเจริญเติบโตมากขึ้น แบคทีเรียที่เพิ่มจำนวนขึ้นมานั้นก็จะเข้าไปจัดการสลายสสารในเหงื่อ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นที่ไม่ถึงประสงค์ออกมา ดังนั้นผู้ที่มีแนวโน้มของอาการเหงื่อออกมากกว่าปกติ ก็จะมีแนวโน้มที่จะมี กลิ่นเท้า เหม็น มากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะในวัยรุ่น หรือสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางฮฮร์โมนอยู่ตลอดเวลา และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายก็มีผลทำให้มีเหงื่อออกมากกว่าปกติ นอกจากนี้ผู้ที่รับประทานยารักษาโรคบางชนิด ตัวยาบางชนิดก็อาจมีผลข้างเคียงทำให้มีเหงื่อออกมากขึ้นได้เหมือนกัน มีวิธีป้องกันเท้าเหม็นอย่างไรบ้าง ปัญหาเรื่องของกลิ่นไม่ว่าจะเป็นกลิ่นตัว กลิ่นเท้า หรือกลิ่นปาก ความสะอาดเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ โดยเฉพาะถ้ามีเหงื่อออกที่เท้ามาก หรือมีอาการเท้าเหม็น ยิ่งต้องใส่ใจกับความสะอาดของเท้า และดูแลเอาใจใส่เท้าดังต่อไปนี้ ล้างทำความสะอาดเท้า ด้วยสบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีคุณสมบัติต้านหรือลดแบคทีเรียอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง อย่าปล่อยให้เท้าเปียก หากเท้าเปียกรีบทำให้เท้าแห้ง โดยเฉพาะช่วงง่ามนิ้วเท้า เพื่อป้องกันไม่ให้เท้าเกิดความอับชื้น เปลี่ยนรองเท้าเสียบ้าง หากเป็นไปได้พยายามหลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าคู่เดิมติดต่อกัน ควรเว้นระยะการใช้งานรองเท้าคู่หนึ่งเพื่อให้รองเท้าได้มีเวลาในการระบายความอับชื้น หรือลดความเปียกชื้นของรองเท้าบ้าง เปลี่ยนถุงเท้าเป็นประจำ และควรเลือกใช้ถุงเท้าที่มีเนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี ตัดเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอ และตะไบผิวหนังส่วนที่แตกหรือแห้งออกไป เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย ใช้ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

คลื่นเสียงบำบัดสมอง กับประโยชน์ที่คุณควรรู้ไว้

เมื่อพูดถึงการบำบัดนั้นมีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น การบำบัดด้วยเสียงเพลง หรือแม้แต่การใช้คลื่นเสียงบำบัดสมอง แต่หลายคนยังอาจจะไม่รู้จักว่า คลื่นเสียงบำบัดสมอง (Binaural Beats) นั้น เป็นอย่างไร และมันมีประโยชน์อะไรต่อสมองและร่างกายได้ ดังนั้น ทาง Hello คุณหมอ จึงได้นำเรื่องนี้มาฝากกัน [embed-health-tool-bmr] ทำความรู้จักกับ คลื่นเสียงบำบัดสมอง (Binaural Beats) คลื่นเสียงบำบัดสมอง (Binaural Beats) เป็นเทคนิคในการรวมความถี่ของเสียง 2 ความถี่ที่แตกต่างกันเล็กน้อย เพื่อให้สมองสร้างโทนเสียงความถี่ใหม่เดียว ทฤษฎีก็คือเมื่อสมองได้รับเสียงความถี่ที่แตกต่างกัน 2 ความถี่ในเวลาเดียวกัน ในหูแต่ละข้างจะรับรู้เสียงต่างกัน ซี่งเป็นความแตกต่างระหว่างความถี่ 2 ความถี่ที่แยกจากกัน แต่สมองของคุณจะปรับความถี่ทั้ง 2 นี้ ให้เป็นโทนเสียงใหม่ หากคุณฟังคลื่นเสียงบำบัดสมองโดยการใช้หูฟัง ในหูแต่ละข้างจะได้รับเสียงที่ความถี่ต่างกันเล็กน้อย ซึ่งมักจะมาพร้อมกับเสียงพื้นหลังที่ผ่อนคลาย หากหูซ้ายของคุณได้รับโทนเสียง 300 เฮิรตซ์ และหูขวาของคุณได้รับเสียง 280 เฮิรตซ์ สมองของคุณจะประมวลผลและดูดซับโทนเสียง 10 เฮิรตซ์ นั่นคือ คลื่นเสียงความถี่ต่ำ ซึ่งเป็นคลื่นที่คุณจะไม่ได้ยินจริงๆ และคุณไม่จำเป็นต้องได้ยินเสียง เพราะสมองของคุณจะได้รับผลกระทบจากมัน สำหรับเหตุผลที่คลื่นเสียงเหล่านี้มีประโยชน์ต่อการนอนหลับและการผ่อนคลาย ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่า การสัมผัสกับคลื่นเสียงบำบัดสมอง สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับความตื่นตัวของสมอง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ประโยชน์ของแสงแดด ออกแดดวันละนิด จิตแจ่มใส ร่างกายแข็งแรง!

หลาย ๆ คนอาจจะไม่ชอบออกไปเผชิญแสงแดดนัก เพราะปัจจัยเรื่องความร้อน หรือกังวลใจว่าแสงแดดจัดอาจทำร้ายผิว แต่คุณรู้หรือไม่ว่า.. ประโยชน์ของแสงแดด มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยส่งเสริมสุขภาพกาย รวมไปถึงการปรับปรุงสุขภาพจิต แต่ แสงแดด จะช่วยส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตอย่างไรบ้าง ทาง Hello คุณหมอ มีเรื่องนี้มาฝากกัน ประโยชน์ของแสงแดด ที่มีต่อ สุขภาพกาย นอกจากประโยชน์ของแสดงแดดที่มีต่อสุขภาพจิตแล้ว แสงแดดนั้นยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพอีกด้วย ดังนี้ ส่งเสริมสุขภาพกระดูก การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต-บี (Ultraviolet-B) ซึ่งเป็นรังสีในดวงอาทิตย์ จะทำให้ผิวของคุณสร้างวิตามินดี จากการศึกษาหนึ่งในปีค.ศ. 2008 จากแหล่งการศึกษาที่เชื่อถือได้พบว่า ในช่วงเวลา 30 นาที ในขณะที่สวมชุดว่ายน้ำ ผู้คนจำนวนมากได้รับวิตามินดี ดังต่อไปนี้ คนคอเคเชียน (Caucasian people) ส่วนใหญ่ ได้รับวิตามินดี 50,000 หน่วยสากล (IU) คนผิวแทน ได้รับวิตามินดี 20,000-30,000 หน่วยสากล (IU) คนผิวคล้ำ ได้รับวิตามินบี 8,000-10,000 หน่วยสากล (IU) โดยวิตามินดีที่เกิดจาก แสงแดด นั้นมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพกระดูก ระดับวิตามินดีต่ำจะเชื่องโยงกับโรคกระดูกอ่อนในเด็ก และโรคที่ทำให้เสียกระดูก เช่น […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไขข้อสงสัยทำไม สีรอยช้ำ ถึงมีสีที่แตกต่างกัน

หากเราเดินใจลอยไม่ระวัง แขน ขาอาจจะเกิดอุบัติเหตุ ฟาดหรือกระทบกระแทก ทำให้ร่างกายเกิดรอยช้ำ ซึ่งหลายคนอาจจะเคยสังเกตว่า สีรอยช้ำ ของเรานั้นมีสีที่หลากหลายทั้งสีเขียว ม่วง แดง วันนี้ Hello คุณหมอ จะชวนทุกคนมาหาคำตอบว่า ทำไมรอยช้ำถึงที่มีที่แตกต่างกัน ไปอ่านกันเลยค่ะ [embed-health-tool-bmi] รอยช้ำ เกิดขึ้นได้อย่างไร รอยช้ำ เป็นรอยที่เกิดขึ้นจากการที่ผิวหนังกระทบกับของแข็งอย่างรุนแรง จนทำให้เส้นเลือดฝอยหรือเส้นเลือดเล็ก ๆ นั้นแตก เมื่อเส้นเลือดฝอยแตกทำให้เลือดออก ซึมไปยังเนื้อเยื่อบริเวณผิวหนังรอบ ๆ ซึ่งทำให้เกิดรอยช้ำและเกิดการเปลี่ยนสีใต้ผิวหนัง อย่างที่เราเห็น ๆ กัน ในขณะเดียวกัน รอยช้ำ ก็จะดูดซับเลือดที่รั่วออกมา ทำให้รอยช้ำมีลักษณะและสีที่เปลี่ยนไป มาเรียนรู้เกี่ยวกับ สีรอยช้ำ กันเถอะ ตั้งแต่เกิดการกระแทก รอยช้ำ นั้นจะอยู่นาน 2-3 สัปดาห์ รอยช้ำของแต่ละคนนั้นอาจจะใช้เวลากว่าจะหายไม่เท่ากัน ซึ่งจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการบาดเจ็บ และจุดที่ได้รับรอยช้ำบนร่างกาย หากเกิดรอบช้ำที่แขนหรือขาอาจจะหายช้ากว่าปกติ และสีของรอยช้ำก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปตามลำดับ และมีเฉดสีที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปดังนี้ สีชมพูและแดง หลังจากที่ร่างกายได้รับการกระแทก เช่น โดนกระแทกที่หน้าแข้ง โดนกระแทกที่แขน อาจทำให้บริเวณนั้นเกิดรอยช้ำสีชมพูหรือแดงขึ้นมา นอกจากสีที่ปรากฏขึ้นแล้ว […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน