ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป เป็นเรื่องที่ทุกคนควจะต้องรู้เอาไว้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งเรื่องราวที่คุณจะอ่านเรารวบรวมเอาไว้ให้แล้ว

เรื่องเด่นประจำหมวด

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

สำรวจ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

กลุ่มอาการเส้นประสาทกดทับข้อมือ (Carpal tunnel syndrome)

กลุ่มอาการเส้นประสาทกดทับข้อมือ (Carpal tunnel syndrome) หรือภาวะพังผืดกดทับเส้นประสาทข้อมือ เกิดขึ้นจากการกดทับของเส้นประสาทมีเดียน ทำให้มือเกิดอาการเหน็บชา หรืออ่อนแรง และอาจส่งผลกระทบต่อการขยับของมือและแขนได้ คำจำกัดความกลุ่มอาการเส้นประสาทกดทับข้อมือ คืออะไร กลุ่มอาการเส้นประสาทกดทับข้อมือ (Carpal tunnel syndrome) หรือภาวะพังผืดกดทับเส้นประสาทข้อมือ เกิดขึ้นจากการกดทับของเส้นประสาทมีเดียน (Median nerve) เส้นประสาทบนฝ่ามือ ที่ทำให้นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางครึ่งหนึ่งสามารถรับความรู้สึกได้ เมื่อเส้นประสาทมีเดียนนี้ถูกกดทับ จะทำให้มือเกิดอาการเหน็บชา หรืออ่อนแรง และอาจส่งผลกระทบต่อการขยับของมือและแขนได้ กลุ่มอาการเส้นประสาทกดทับข้อมือนั้นจัดได้ว่า เป็นอาการกดทับเส้นประสาทที่พบได้มากที่สุด โดยสามารถพบได้มากถึง 90% ของอาการกดทับเส้นประสาททั้งหมด กลุ่มอาการเส้นประสาทกดทับข้อมือพบบ่อยแค่ไหน กลุ่มอาการเส้นประสาทกดทับข้อมือนั้นสามารถพบได้ประมาณ 3.8% จากจำนวนประชากรทั้งหมด โดยมักจะพบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และจะพบได้บ่อยในกลุ่มของผู้สูงอายุ 40-60 ปี แต่ก็สามารถพบได้ในกลุ่มคนที่อายุน้อยกว่านั้นเช่นกัน อาการอาการของกลุ่มอาการเส้นประสาทกดทับข้อมือ รู้สึกแสบร้อน เหน็บชา หรืออาการคันในบริเวณฝ่ามือ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง มือไม้อ่อน ไม่สามารถจับของได้อย่างถนัด รู้สึกไม่มีแรงที่มือ นิ้วกระตุก รู้สึกซ่าตามข้อมือขึ้นไปจนถึงแขน ในช่วงแรกๆ คุณอาจจะรู้สึกว่ามีอาการมือชา อ่อนแรง หรือเป็นเหน็บ ทำให้เคลื่อนไหวมือได้ลำบากมากขึ้น เมื่ออาการรุนแรงขึ้น อาจทำให้สูญเสียแรงจับเพราะกล้ามเนื้อมือหดตัว นอกจากนี้ยังอาจมีอาการปวดและตะคริวที่มืออีกด้วย ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด หากคุณสังเกตพบว่า อาการของกลุ่มอาการเส้นประสาทกดทับข้อมือนั้นเริ่มรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ ทำให้ไม่สามารถขยับหรือเคลื่อนไหวมือได้ตามใจชอบ หรือมีอาการปวดที่รบกวนการนอนหลับของคุณ ควรรีบปรึกษาแพทย์ในทันที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษา […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เนื้อแดง อร่อยถูกใจ แต่อาจเสี่ยงทำร้ายสุขภาพได้โดยไม่รู้ตัว

ชอบบุฟเฟต์ รักปิ้งย่าง เงินเดือนออกเป็นต้องนัดปาร์ตี้เนื้อย่าง ก็แหมเนื้อย่างสุดแสนจะอร่อยขนาดนี้ ใครบ้างจะไม่ชอบ แต่…รู้หรือไม่ว่า ยิ่งกินเนื้อมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากเท่านั้น โดยเฉพาะถ้าเป็น เนื้อแดง แล้วล่ะก็ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพมากขึ้นไปอีก วันนี้ Hello คุณหมอ มีข้อมูลความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการกินเนื้อแดงมาฝากค่ะ  เนื้อแดง คืออะไร เนื้อสัตว์ที่วางขายอยู่ตามท้องตลาดและเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานกันอยู่ในชีวิตประจำวันนี้ สามารถจำแนกออกได้หลายลักษณะใหญ่ๆ ดังนี้ เนื้อสัตว์แปรรูป: มักเป็นเนื้อสัตว์หรือเนื้อวัวที่ถูกเลี้ยงตามอัตภาพ แล้วมีการนำเนื้อนั้นมาแปรรูปในโรงงานเป็น ไส้กรอก เบคอน แฮม ฮอตดอก เบอร์เกอร์ เป็นต้น เนื้อแดงธรรมดา: คือเนื้อแดงที่ยังไม่ถูกนำไปแปรรูป มักเป็นเนื้อสัตว์ที่ถูกเลี้ยงไว้ในฟาร์มสำหรับแล่เอาเนื้อโดยเฉพาะ ได้แก่ เนื้อสัตว์จำพวก เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อแพะ เป็นต้น เนื้อขาว: คือเนื้อสัตว์ที่มีลักษณะของเนื้อที่เป็นสีขาวมากกว่าสีแดง มักพบได้ในเนื้อสัตว์ปีกและเนื้อปลา เช่น เนื้อไก่ เนื้อไก่งวง เนื้อปลา เนื้อสัตว์ออร์แกนิก: คือเนื้อที่มาจากสัตว์ซึ่งถูกเลี้ยงตามธรรมชาติด้วยหญ้าหรือฟาง ได้รับการดูแลแบบออร์แกนิก ไม่มีการใช้ยา สารเร่ง สารเคมี หรือฮอร์โมนใดๆ  ดังนั้นเนื้อแดงจึงมักจะหมายถึงเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงสดและเข้ม เมื่อถูกทำให้สุกหรือปรุงจนสุกก็จะมีสีที่เข้มขึ้นไปอีก โดยเนื้อแดงมักหมายถึงเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่จะไม่รวมถึงเนื้อของสัตว์ปีก หรือเนื้อปลา เนื่องจากเป็นเนื้อที่มีส่วนของเนื้อสีขาวมากกว่าเนื้อสีแดง โดยเนื้อแดงที่เรารู้จักกันดีก็ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อแพะ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

หลอดเลือดแดงอักเสบทากายาสุ (Takayasu's Arteritis)

หลอดเลือดแดงอักเสบทากายาสุ หรือเรียกสั้นๆ ว่า โรคทากายาสุ (Takayasu’s Arteritis) เกิดจากการอักเสบของหลอดเลือดแดง ซึ่งเป็นหลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจและหลอดเลือดที่ลำเลียงเลือดไปยังส่วนแขนและเดินผ่านทางลำคอไปยังสมอง อาการอักเสบดังกล่าว ส่งผลให้หลอดเลือดโป่งพองจนเกิดอาการตีบตันหรืออุดตัน คำจำกัดความหลอดเลือดแดงอักเสบทากายาสุ (Takayasu’s Arteritis) คืออะไร    หลอดเลือดแดงอักเสบทากายาสุ หรือเรียกสั้นๆ ว่า โรคทากายาสุ (Takayasu’s Arteritis) เกิดจากการอักเสบของหลอดเลือดแดง ซึ่งเป็นหลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจและหลอดเลือดที่ลำเลียงเลือดไปยังส่วนแขนและเดินผ่านทางลำคอไปยังสมอง อาการอักเสบดังกล่าว ส่งผลให้หลอดเลือดโป่งพองจนเกิดอาการตีบตันหรืออุดตัน อย่างไรก็ตาม โรคทากายาสุเป็นโรคที่หาได้ยาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอาการดังนี้ มีไข้ ภาวะโลหิตจาง เวียนศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เหงื่อออกเวลากลางคืน เป็นต้น พบได้บ่อยเพียงใด โรคทากายาสุสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ทุกเชื้อชาติ โดยส่วนใหญ่มักพบในผู้หญิงเอเชียอายุระหว่าง 15 ถึง 35 ปี อาการของโรคทากายาสุอาการของโรคทากายาสุ อาการของโรคทากายาสุจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดังนี้ อาการของโรคทากายาสุ ระยะที่ 1 เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว มีไข้เล็กน้อย ในบางครั้งอาจมีอาการเหงื่ออกตอนกลางคืนร่วมด้วย อาการของโรคทากายาสุ ระยะที่ 2 ในระยะที่ 2 เกิดจากการอักเสบของเส้นเลือดจนเกิดอาการตีบตันหรืออุดตัน ส่งผลให้ออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้น้อยลง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงมีอาการ ดังต่อไปนี้ แขนและขามีการอ่อนแรงหรือเกิดอาการปวด รู้สึกวิงเวียนศีรษะ เป็นลม ปวดศีรษะ เกิดความผิดปกติทางการมองเห็น เจ็บหน้าอก หายใจถี่ ความดันโลหิตสูง ท้องเสีย […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

กินข้าวเย็นไว ส่งผลดีอย่างไรต่อสุขภาพบ้าง

เมื่อพูดถึงการลดน้ำหนัก หลายคนคงพอจะทราบดีกว่าควรจะต้องกินข้าวก่อนช่วง 18.00 น. หลังจากนั้นไม่ควรกินอะไรอีก เพราะอาจทำให้อ้วนได้ แต่ความจริงแล้ว กินข้าวเย็นไว ก็เป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน แต่จะเป็นประโยชน์อย่างไรบ้าง วันนี้ทาง Hello คุณหมอ มีเรื่องนี้มาฝากกัน กินข้าวดึก ทำให้อ้วนได้จริงหรือ จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism ของสมาคม Endocrine Society พบว่า การกินอาหารเย็นหรือมื้อดึกนั้น มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น โดยไม่คำนึงว่ามื้อนั้นจะเหมือนกับที่คุณเคยกินมาก่อนหน้าหรือไม่ นอกจากนั้นการกินอาหารมื้อดึก ยังมีความสัมพันธ์กับโรคอ้วนอีกด้วย การกินอาหารในช่วงดึกนั้นจะทำให้การเผาผลาญเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ส่งเสริมทำให้เกิดโรคอ้วน มีงานศึกษา โดยให้อาสาสมัครที่มีสุขภาพดี 20 คน ซึ่งเป็นชาย 10 คน และหญิง 10 คนเข้าร่วมการวิจัย เพื่อค้นหาว่าเมื่อร่างกายต้องเผาผลาญอาหารเย็นในเวลา 22.00 น. แทนที่จะเป็นเวลา 18.00 น. จะเกิดอะไรขึ้น โดยให้ผู้เข้าร่วมศึกษาทุกคนเข้านอนในเวลาเดียวกันคือ 23.00 น. ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่กินอาหารมื้อดึกระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับน้ำมะพร้าว ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้

น้ำมะพร้าวนั้นเป็นหนึ่งในน้ำผลไม้ที่ได้รับความนิยมกันอย่างมากในประเทศไทย เพราะมีรสชาติหวาน อร่อย ดื่มแล้วสดชื่น แถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย แต่ก็ยังมีหลายๆ คนที่อาจจะมีความเข้าใจผิด หรือความเชื่อบางอย่างเกี่ยวกับการรับประทานน้ำมะพร้าว ที่อาจจะเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าขานบอกต่อกันมา วันนี้ Hello คุณหมอ จะมาช่วยแก้ไข ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับน้ำมะพร้าว ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้กันค่ะ ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับน้ำมะพร้าว ที่ควรรู้ ความเชื่อที่ 1 ห้ามดื่มน้ำมะพร้าวขณะมีประจำเดือน สาวๆ หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำเตือนกันมาบ้างว่า ถ้ามีประจำเดือน ห้ามดื่มน้ำมะพร้าวเด็ดขาด เพราะแสลงกับคนที่มีประจำเดือน และจะทำให้ปวดท้อง จริงๆ แล้วการดื่มน้ำน้ำมะพร้าวขณะมีประจำเดือน นั้นก็ไม่แตกต่างจากการดื่มน้ำหวานอื่นๆ แต่อย่างใด เรายังสามารถดื่มน้ำมะพร้าวได้ตามปกติ แม้ว่าจะมีประจำเดือน โดยไม่ส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อประจำเดือน หรือทำให้ปวดท้องอย่างที่เราเชื่อกัน แต่อย่างไรก็ตาม บางคนอาจจะมีอาการแพ้น้ำมะพร้าวได้ หากคุณสังเกตพบว่าคุณมีอาการแพ้หลังจากดื่มน้ำมะพร้าว เช่น รู้สึกคัน มีผดผื่น หรือมีอาการบวม ควรหยุดรับประทานน้ำมะพร้าว และเข้ารับการตรวจโรคภูมิแพ้ก่อนจะดีกว่า ความเชื่อที่ 2 หลังออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำมะพร้าวจะดีที่สุด บางคนเชื่อว่า การดื่มมะพร้าวหลังออกกำลังกาย จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในการเติมน้ำและแร่ธาตุต่างๆ ที่ร่างกายสูญเสียไปทางเหงื่อให้กลับคืนมา ในความเป็นจริงนั้น การดื่มน้ำมะพร้าวหลังออกกำลังกาย ไม่ได้มีประโยชน์มากไปกว่าการดื่มน้ำเปล่าตามปกติสักเท่าไหร่ ยิ่งโดยเฉพาะหากคุณออกกำลังกายและสูญเสียเหงื่อมาก น้ำมะพร้าวที่ไม่ได้เติมน้ำตาล อาจจะมีแคลอรี่น้อยเกินกว่าที่จะทดแทนแร่ธาตุและพลังงานที่ขาดหายไป หากคุณออกกำลังกายและเสียเหงื่อมาก การดื่มสปอตดริ๊งค์ที่ให้มีน้ำตาลและให้พลังงานสูง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

จุลินทรีย์ในลำไส้ กับความสำคัญต่อสุขภาพ

รู้รึเปล่าคะ ว่าร่างกายของคนเรานั้นเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ซึ่งมีอยู่มากมาย หลายล้านล้านตัว เราเรียกรวมๆ ว่า ไมโครไบโอม (Microbiome) หลายๆ คนอาจจะเข้าใจว่าแบคทีเรียนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ว่าจริง ๆ แล้วมีแบคทีเรียหลายตัวที่ดีต่อสุขภาพ มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน หัวใจ และสุขภาพอื่น ๆ อีกมากมาย Hello คุณหมอ จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ จุลินทรีย์ในลำไส้ ว่ามีความสำคัญต่อสุขภาพอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ จุลินทรีย์ในลำไส้ คืออะไร ลำไส้และผิวหนังของคนเรานั้นเต็มไปด้วยแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส และสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ มากมาย นับล้านล้านตัว ซึ่งไมโครไบโอมในลำไส้ หรือจุลินทรีย์ในลำไส้ มักจะพบได้ในกระเปาะลำไส้ใหญ่ หรือเรียกว่า ซีคัม (Cecum) ซึ่งเป็นลำไส้ใหญ่ส่วนแรกที่ต่อจากลำไส้เล็ก ซึ่งในลำไส้นั้นมีจุลินทรีย์ในลำไส้มากมายกว่า 1,000 ชนิด ซึ่งจุลินทรีย์แต่ละชนิดก็จะทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่แล้วจุลินทรีย์เหล่านี้มีความสำคัญและดีต่อสุขภาพ โดยยังมีจุลินทรีย์บางชนิดในลำไส้ ที่อาจก่อให้เกิดโรคได้เช่นกัน จุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งผลต่อร่างกายอย่างไร จริง ๆ แล้วเรานั้นอยู่รวมกับแบคทีเรียมานับล้านล้านปี จนมีวิวัฒนาการในการอยู่ร่วมกัน ทำให้จุลินทรีย์ในร่างกายได้เรียนรู้ที่จะมีบทบาทและความสำคัญต่อร่างกายคนเรา ซึ่งบทบาทของจุลินทรีย์เหล่านี้เริ่มทำงานตั้งแต่เราเกิด ซึ่งครั้งแรกคุณได้สัมผัสกับจุลินทรีย์ผ่านทางช่องคลอดของแม่ และมีหลักฐานใหม่ ๆ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ไขข้อสงสัย พาราเบน ในเครื่องสำอาง ส่งผลอันตรายต่อผิวเราได้จริงหรือ

แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์เสริมความงามอย่าง เครื่องสำอาง และสกินแคร์ ที่เราพบเห็นกันอยู่ทั่วไปนั้น อาจล้วนมีสารเคมีบางอย่างปะปน เพื่อรักษาคุณสมบัติภายในของผลิตภัณฑ์ไว้ แต่ใครจะไปรู้ว่าในขณะเดียวกัน เจ้าสารตัวนี้ก็อาจส่งผลเสียให้แก่ผิวของผู้ใช้ได้เช่นกัน บทความของ Hello คุณหมอ วันนี้ จึงขอพาทุกคนมารู้กับสาร พาราเบน ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันก่อนเกิดอันตรายแก่ผิวพรรณของเรา สารพาราเบน คืออะไร พาราเบน (Parabens) เป็นสารเคมีกลุ่มหนึ่งที่มาจาก กรดพาราไฮดรอกซีเบนโซอิก (Para-hydroxybenzoic acid) ซึ่งใช้เพื่อเป็นสารกันบูดในเครื่องสำอาง อาหาร และยา รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่จำเป็นต้องมีการยืดอายุการใช้งานให้อยู่กับเราได้นานมากขึ้น พร้อมทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเกิดการเน่าเสียจากแบคทีเรีย จุลินทรีย์รอบตัวได้อีกด้วย ผลิตภัณฑ์ใดบ้างที่มีพาราเบนเป็นส่วนประกอบ หากคุณต้องการหลีกเลี่ยง หรือลดการใช้งานจากผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยสารพาราเบนลง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ คุณสามารถตรวจสอบได้จากฉลากด้านข้างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมไปถึงอาหารในชีวิตประจำของเราได้ ดังต่อไปนี้ สกินแคร์ดูแลผิวหน้า แชมพู ครีมบำรุงผม ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เครื่องสำอาง น้ำอัดลม แยมผลไม้ ผลไม้ และผักดอง อาหารแปรรูป อาหารแช่แข็ง น้ำเชื่อม ซอสปรุงอาหาร ที่สำคัญผลิตภัณฑ์บางยี่ห้อ ผู้ผลิตอาจไม่ได้ระบุสารพาราเบนโดยตรง แต่อาจระบุเป็นชื่อ หรือชนิดของสารพาราเบนทดแทน เช่น เมทิลพาราเบน (Methyl paraben) โพรพิวพาราเบน (Propylparaben) บูทิลพาราเบน (Butylparaben) และ เอทิลพาราเบน (Ethylparaben) เป็นต้น ไขข้องใจ พาราเบน ส่งผลเสียต่อผิวของเราได้หรือไม่ จากข้อมูลขององค์การอาหารและยา […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ภาวะสมองล้า (Brain Fog) ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ

สมองถือเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย เพราะสมองทำหน้าที่ในการสั่งงานและควบคุมทั้งร่างกาย จิตใจ รวมถึงความรู้สึกนึกคิดโดยตรง แต่ถ้าเกิด ภาวะสมองล้า ขึ้นมา มันจะส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพร่างกายของคุณบ้าง แล้วภาวะสมองล้านี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร มีอาการอะไรที่กำลังบ่งบอกว่าจะเป็นภาวะนี้บ้าง ต้องไปติดตามกันในบทความนี้ Hello คุณหมอ ภาวะสมองล้า (Brain Fog) คืออะไร ภาวะสมองล้า ไม่ใช่อาการทางการแพทย์ แต่เป็นอาการของโรคอื่นๆ และเป็นความผิดปกติทางปัญญาประเภทหนึ่งซึ่งสามารถทำให้ผู้ที่เป็นภาวะนี้รู้สึกราวกับว่ากระบวนการทางความคิด ความเข้าใจ และการจดจำไม่ทำงานได้เท่าที่ควร ซึ่งอาจจะส่งผลต่อ หน่วยความจำรวม ความสามารถในการจัดเก็บและเรียกคืนข้อมูล การใช้และความเข้าใจในภาษา ความสามารถในการประมวลผล และเข้าใจข้อมูล ทักษะการมองเห็นและเชิงพื้นที่ สำหรับการวาดภาพ การจดจำรูปร่าง และการนำทาง ความสามารถในการคำนวณและการดำเนินงาน ความสามารถในการทำงานของผู้บริหาร ในการจัดระเบียบ แก้ปัญหา และการวางแผน ปัญหาความจำ ขาดความชัดเจนทางจิตใจ สมาธิไม่ดี ไม่สามารถโฟกัสสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ หากความสามารถเหล่านี้อย่างน้อยหนึ่งอย่างทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อาจเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ โฟกัส และจดจำสิ่งต่างๆ นอกจากนั้นมันอาจจะรบกวนการทำงานหรือการเรียนได้อีกด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะสมองล้าที่เกิดขึ้นด้วย ทั้งนี้ภาวะที่เกิดขึ้นนั้นอาจนำไปสู่ความเครียด และความเหนื่อยล้าทางจิตใจ สาเหตุของภาวะสมองล้า มีคำอธิบายมากมายว่าทำไมถึงเกิดภาวะสมองล้าได้ เมื่อคุณสามารถระบุสาเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดภาวะสมองล้าได้ คุณก็จะสามารถเริ่มแก้ปัญหาได้ และนี่คือสาเหตุของการเกิดภาวะสมองล้า ความเครียด ความเครียดเรื้อรัง สามารถเพิ่มความดันโลหิต ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดความเหนื่อยล้าทางจิตใจ เมื่อสมองของคุณอ่อนล้า การคิดหาเหตุผลและโฟกัสบางสิ่งบางอย่างก็ยากขึ้นด้วย ขาดการนอนหลับ คุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดี […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

คันจนต้องเกาแต่ไม่หาย จะมี วิธีแก้อาการคัน ได้อย่างไรบ้าง

อาการคันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เมื่อเกิดอาการคันผิว อาจทำให้คุณรู้สึกรำคาญ ทั้งยังอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายอย่างมาก และอาจทำให้เสียสมาธิในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้ ถ้า คันจนต้องเกาแต่ไม่หาย จะวิธีไหนบ้างไหมที่จะทำให้อาการคันที่เกิดขึ้นนั้นหายไป เพราะหากเกามากๆ ก็อาจจะส่งผลเสียต่อผิว หรืออาจทำให้เกิดบาดแผลขึ้นได้ แล้วสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคันนั้นมันมาจากไหน จะมีวิธีแก้อาการคันง่ายๆ บ้างไหม วันนี้ทาง Hello คุณหมอมีเรื่องนี้มาฝากกัน [embed-health-tool-bmr] สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคัน อาการคันนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ตัวอย่างเช่น คุณอาจเคยสัมผัสกับพืชบางชนิด เช่น ไม้เลื้อย หรือไม่เลื้อยมีพิษ รวมไปถึงโรคผิวหนังอย่างโรคสะเก็ดเงินก็เป็นอีกหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการคัน เนื่องจากเป็นภาวะที่ทำให้ผิวหนังแห้ง เป็นขุย จากการสะสมของเซลล์ผิวหนัง จึงทำให้เกิดอาการคันบริเวณผิวหนังที่แห้ง  นอกจากนั้นความเจ็บป่วย การโดนแมลงกัด ต่อย แผลไฟไหม้ที่เริ่มหายดี หรือบาดแผลต่างๆ ก็สามารถทำให้คุณรู้สึกคันได้เช่นกัน มากไปกว่านั้น อาการคันก็คือ อาการระคายเคืองผิวหนัง ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดรอยขีดข่วนได้ อาการคันนั้นเป็นปัญหาที่ทุกคนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน สามารถเกิดขึ้นได้เฉพาะบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย หรือสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย หรือในบริเวณต่างๆ บางครั้งอาการคันอาจจะแย่ลงในตอนกลางคืน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เกิดขึ้น อาการคันทั่วไปที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายนั้นมักจะรักษาได้ยากกว่าอาการคันเฉพาะที่ นอกจากนั้นยังสามารถเกิดขึ้นได้โดยมีหรือไม่มีแผลที่ผิวหนังก็ได้ สำหรับแผลที่ผิวหนังที่สังเกตเห็นได้ ก็คือ แผลพุพอง ผื่นแดง หรือความผิดปกติที่สามารถมองเห็นได้บนผิวหนัง ตามข้อมูลของ National Eczema Association (NEA) […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เจาะหู กับข้อควรรู้และต้องคำนึงถึงก่อนรับบริการ

การ เจาะหู ถือเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่งสำหรับสาวๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เฉพาะสาวๆ ที่นิยมเจาะหูเท่านั้น เหล่าบรรดาชายหนุ่มก็นิยมเจาะหูเช่นกัน แต่รู้หรือไม่ว่า ก่อนที่จะทำการตัดสินใจเจาะหูนั้น ควรจะต้องคำนึงถึงอะไรก่อนบ้าง แล้วการเจาะหูนั้นมีความเสี่ยงหรือไม่ ทาง Hello คุณหมอ มีเรื่องนี้มาฝากกัน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนจะ เจาะหู การเจาะหู นั้นสามารถทำได้โดยผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ใช่แพทย์ และเป็นที่นิยมมากที่สุดในบรรดาการเจาะอื่นๆ แต่เมื่อคุณต้องการที่จะเจาะหู ก็มีหลายสิ่งที่จะต้องนำมาพิจารณา เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพก่อนที่จะเจาะหู ซึ่งสิ่งที่ต้องคำนึกถึงก่อนจะเจาะหู มีดังนี้ คุณเคยมีคีลอยด์หรือแผลเป็นขนาดใหญ่หรือไม่ คุณมีประวัติครอบครัวเป็นโรคคีลอยด์ (Keloid) หรือแผลเป็นขนาดใหญ่หรือไม่ คีลอยด์เป็นแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ล้นออกมาบริเวณขอบของการบาดเจ็บ หากคุณมีประวัติส่วนตัวหรือครอบครัวที่มีแผลเป็นขนาดใหญ่ ความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นขนาดใหญ่หลังจากเจาะหูก็จะเพิ่มขึ้น คุณมีอาการแพ้โลหะหรือไม่ ต่างหูทำจากวัสดุหลายชนิด โดยทั่วไปแล้วต่างหูแบบเริ่มต้นจะทำจากเงินแท้ ซึ่งเป็นโลหะที่ไม่ระคายเคือง แต่ถ้าหากคุณมีอาการแพ้โลหะบางชนิด คุณอาจจะต้องหลีกเลี่ยงโลหะเหล่านั้น หากไม่ทำเช่นนั้น หลังจาก การเจาะหู คุณอาจเกิดอาการแพ้ รวมถึงรอยแดง บวม ระคายเคือง คัน หรือปวดได้ แม้ว่าแผลจากการเจาะหูจะหายดีแล้วก็ตาม แต่รูปลักษณ์ภายนอกของการเจาะก็อาจจะได้รับผลกระทบต่อการแพ้โลหะทั่วไป ซึ่งโลหะทั่วไปที่คนแพ้ ก็คือ นิกเกิล ควร เจาะหู ที่บริเวณไหน ติ่งหูมักเป็นส่วนแรกของหูที่จะถูกเจาะ คนส่วนใหญ่มักจะมีหูที่มีความไม่สมมาตรอยู่ในระดับหนึ่ง แต่คุณมักจะต้องการให้ต่างหูอยู่ในระดับเดียวกัน ทั้งยังไม่ต้องการเจาะหูให้มีรูที่อยู่ตรงติ่งหูที่ต่ำเกินไป เพราะมันอาจจะทำให้เกิดการปริแตกได้ ดังนั้น การวางรูสำหรับเจาะหูควรวางให้รูตั้งฉากกับพื้นผิวของหู หรือทำมุมได้ บางคนอาจจะเลือกวางรูสำหรับเจาะหูเอาไว้ที่มุม เพื่อให้ต่างหูหันไปข้างหน้า ความเสี่ยงที่อาจมาพร้อมกับการ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน