สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

ทำความรู้จัก "ปลูกฝี" สำคัญยังไง ยังจำเป็นอยู่ไหม

การปลูกฝีเคยเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โรคฝีดาษ (Smallpox) เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตมนุษย์ วัคซีนป้องกันฝีดาษซึ่งเริ่มต้นจากการปลูกฝี ไม่เพียงช่วยลดการเสียชีวิตนับล้านคนทั่วโลก แต่ยังนำไปสู่การประกาศกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523  อย่างไรก็ตาม ความทรงจำเกี่ยวกับการปลูกฝีเริ่มจางหายไปเมื่อวัคซีนนี้ไม่ได้เป็นที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนรอยความสำคัญของการปลูกฝีในอดีต และพิจารณาว่าการปลูกฝียังมีความจำเป็นในยุคสมัยใหม่หรือไม่ [embed-health-tool-vaccination-tool] ปลูกฝี ในอดีตเป็นอย่างไร? การปลูกฝีเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1796 โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด เจนเนอร์ ผู้ค้นพบว่าวัคซีนจาก Cowpox สามารถป้องกันโรคฝีดาษได้ ทำให้เกิดการพัฒนาวัคซีนที่ใช้ทั่วโลกเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 จนนำไปสู่การประกาศว่าฝีดาษถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ในปี 1980 สำหรับประเทศไทย การปลูกฝีเริ่มต้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมักทิ้งรอยแผลเป็นเล็ก ๆ บริเวณหัวไหล่ หลังจากการกำจัดโรคฝีดาษอย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2523 การปลูกฝีก็หยุดลง แต่กลับมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจอีกครั้งในยุคที่โรคฝีดาษลิงระบาด โดยวัคซีนที่พัฒนาจากวัคซีน Smallpox เช่น JYNNEOS กำลังถูกศึกษาเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ โรคฝีดาษลิงคืออะไร โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากไวรัสในตระกูล Orthopoxvirus ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ (Smallpox) แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกัน แต่โรคฝีดาษลิงมีอาการรุนแรงน้อยกว่าและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่า โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อ ไวรัส Monkeypox ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกในลิงในปี ค.ศ. 1958 และตรวจพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

สำรวจ สุขภาพ

ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แนวทางการรับมือกับ กล้ามเนื้ออ่อนแรงเรื้อรัง

กล้ามเนื้ออ่อนแรงเรื้อรัง เป็นหนึ่งในอาการของโรควิตกกังวลที่ถือว่าน่ากลัวที่สุด และยังเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพมากมายอีกด้วย นอกจากนี้ อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบเรื้อรัง ยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีอาการวิตกกังวลแย่ลงไปอีก ซึ่งอาจนำไปสู่ความเครียดขั้นรุนแรง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ดังนั้น ถ้าคุณพบว่าเกิดอาการเหน็บ ชา อ่อนล้า ที่กล้ามเนื้อบ่อยผิดปกติ คุณควรไปพบคุณหมอเพื่อขอคำปรึกษาอย่างเร่งด่วน สาเหตุของอาการ กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีภาวะสุขภาพมากมายที่สามารถนำไปสู่การเกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ เช่น อาการอ่อนล้าเรื้อรัง (CFS – Chronic fatige sndrome) โรคกล้ามเนื้อเจริญผิดเพี้ยน (Muscular dystrophy) โรคผิวหนังและกล้ามเนื้ออักเสบ (dermatomyosistis) โปลิโอ ระดับโซเดียมในเลือดต่ำ โปแตสเซียมในเลือดต่ำ โรคกระดูกอ่อน ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (Hypothyroidism) โรคกระดูกนิ่ม (Osteomalacia) และโรคปวดเส้นประสาท (Neuralgia) เป็นต้น ต่อไปนี้เป็นสาเหตุหลักส่วนหนึ่งของอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่อาจต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน สมองกระทบกระเทือน (อาการบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง) ภาวะสมองขาดเลือด โรคเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว โรคโบทูลิซึม ภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพอง ไข้สมองอักเสบ ต่อไปนี้เป็นวิธีบรรเทาอาการ กล้ามเนื้ออ่อนแรงเรื้อรัง 1. การเดิน  จริงๆ แล้วกล้ามเนื้อของคุณไม่ได้อ่อนแรง แต่แค่รู้สึกอ่อนแอกว่าปกติเท่านั้น ดังนั้น การออกไปเดินเล่นอาจช่วยได้ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นการส่งสัญญาณไปยังสมองว่าคุณยังสบายดี และการเดินก็เป็นการออกกำลังกายที่ดีต่อการไหลเวียนเลือดและกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเครียดได้ด้วย 2. หายใจ ผลกระทบของภาวะหายใจเกิน (hyperventilation) อาจลดลงได้ด้วยการควบคุมการหายใจ คุณควรหายใจช้าๆ ไม่เร็วหรือลึกเกินไป การหายใจแต่ละครั้งควรห่างกัน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ทำไมยิ่งดึกก็ยิ่งคัน...บอกลาอาการ คันตอนกลางคืน ด้วยวิธีต่อไปนี้

อาการคันตามผิวหนังสามารถเกิดขึ้นกับทุกคน แต่สำหรับบางคน ตอนกลางวัน ก็ไม่ได้คันมากเท่าไหร่ แต่พอถึงเวลานอนเท่านั้นล่ะ ต้องลุกขึ้นมาเกา เกา และ เกา เพราะรู้สึกคันจนไม่สามารถหยุดเกาได้ และหลายครั้งก็จบลงด้วยการไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมอาการคัน จึงรุนแรงขึ้นในเวลากลางคืน และจะมีวิธี แก้อาการคันในตอนกลางคืน อย่างไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบสำหรับผู้ที่อาจกำลังเผชิญกับอาการ คันตอนในกลางคืน อยู่ในขณะนี้ [embed-health-tool-ovulation] อาการ คันในตอนกลางคืน คืออะไร อาการคันในตอนกลางคืน (Nocturnal Pruritus) เป็นอาการคันตามผิวหนังที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และมักรุนแรงมากขึ้นในช่วงกลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีอาการผิวหนังอักเสบ เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ อาการ คันในตอนกลางคืน เป็นหนึ่งในอาการที่พบได้ทั่วไปในผู้ป่วยโรคหิด และอาจพบได้ในผู้ป่วยโรคอื่น ๆ เช่น โรคตับ หรือโรคไต อาการคันที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืนนั้น อาจรบกวนการนอนหลับ และอาจทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง การอดนอนจากปัญหาอาการคันนี้ อาจส่งผลให้เกิดความหงุดหงิด และง่วงนอนในเวลากลางวัน รวมทั้งยังทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพจิตอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าผู้ป่วยที่มีอาการผิวหนังอักเสบนั้นมีแรงปรารถนาทางเพศและสมรรถภาพทางเพศลดลง หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาการคันตามผิวหนังจะส่งผลให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากวงจรของอาการคันและเกา (itch-scratch cycle) นั่นเอง เหตุใดอาการคันจึงแย่ลงในเวลากลางคืน กลไกของการเกิดอาการคันอย่างรุนแรงในช่วงเวลากลางคืนนั้น ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีการคาดการณ์ว่า อาจมีความเกี่ยวข้องกับการสูญเสียน้ำทางช่องว่างระหว่างเซลล์ผิวหนัง ที่เป็นตัววัดความแข็งแรงของเกราะปกป้องผิวหนังของเรา […]


อาการของโรค

ตะคริวตอนกลางคืน สัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่

กล้ามเนื้อหดเกร็ง (Muscle spasm) เช่น ตะคริว ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงกลางคืนเป็นที่รู้จักในชื่อ ตะคริวตอนกลางคืน ซึ่งพบบ่อยบริเวณขา ภาวะนี้ตามปกติจะรบกวนการนอนหลับในตอนกลางคืน โดยอาจเกิดขึ้นในขณะที่คุณยังนอนไม่หลับ หรือขณะที่หลับไปแล้วก็ได้ ตะคริวตอนกลางคืน (Nocturnal Leg Cramps) สามารถเกิดได้ที่บริเวณของขาในหลายตำแหน่ง เช่น กล้ามเนื้อน่อง ต้นขา และเท้า ภาวะหดเกร็งก่อให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวด และทำให้กล้ามเนื้อส่วนที่เกิดอาการรู้สึกแน่นหรืออึดอัด อาการนี้อาจเกิดนานหลายวินาทีจนถึงหลายนาที แม้ว่าอาการนี้มักจะพบบ่อยกว่าในวัยผู้ใหญ่อายุมากกว่า 50 ปี แต่ก็อาจเกิดขึ้นกับเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอายุน้อยกว่าได้ และเกิดได้ทั้งในเพศหญิงและชาย สาเหตุของ ตะคริวตอนกลางคืน มีการศึกษาหลายชิ้นแนะนำว่า อาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อเป็นสาเหตุหลักของตะคริวที่ขา ตัวอย่างเช่น การศึกษาเกี่ยวกับนักกีฬาประเภทที่ใช้ความทนทาน แสดงให้เห็นว่าตะคริวที่ขาเกิดขึ้นเมื่อนักกีฬาออกกำลังกายโดยใช้แรงมากกว่าปกติ การที่ร่างกายเกิดความความอ่อนล้า ขาดออกซิเจน ซึ่งทำให้เกิดการสะสมของเสียภายในร่างกายตลอดทั้งวัน และทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งและเป็นตะคริวได้ในตอนกลางคืน ไม่เพียงแต่การออกกำลังกายเท่านั้น การออกแรงมากเกินไปหรือทำกิจกรรมติดต่อกันนานเกินไป เช่น การนั่งเป็นระยะเวลานานๆ การยืนหรือเดินบนพื้นคอนกรีต หรือการนั่งไม่ถูกท่าก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่าคนที่เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติทางโครงสร้างร่างกาย เช่น เท้าแบน จะเกิดตะคริวที่กล้ามเนื้อได้มากกว่าคนทั่วไป บางครั้งอาการหดเกร็งกล้ามเนื้อตอนกลางคืน ยังเป็นสัญญาณแสดงของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ ได้แก่ ภาวะเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน หรือความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวาน และ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เชื่อหรือไม่? วิตามิน สร้างกล้ามเนื้อ ได้ดีไม่แพ้อาหารเสริมเลยนะ

วิตามิน มีความสำคัญมากสำหรับร่างกายมนุษย์ นอกเหนือจากช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของเราแล้ว ยังช่วยคงความอ่อนเยาว์หรือรักษาโรคทั่วไปอย่างไข้หวัดได้อีกด้วย นอกจากนี้ หลายคนคงอาจยังไม่รู้ว่า คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของวิตามินนั้น คือ สามารถช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงได้อีกด้วย บทความนี้ Hello คุณหมอ มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ วิตามิน สร้างกล้ามเนื้อ ชนิดต่าง ๆ ที่จะทำให้กล้ามเนื้อของคุณแข็งแรงและมีสุขภาพดีขึ้นมาฝากกัน วิตามิน สร้างกล้ามเนื้อ มีอะไรบ้าง วิตามินดี วิตามินดี จัดอยู่ในลำดับแรกของการบำรุงให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น โดยมีบทบาทสำคัญมากต่อการทำงานของระบบภูมิต้านทานของร่างกายและกล้ามเนื้อ ซึ่งจะส่งผลต่อการเสริมสรา้งความแข็งแกร่งและสมรรถภาพร่างกายโดยรวม นอกจากนี้ วิตามินดี ยังมีความสำคัญมากในเรื่องการช่วยดูดซึมแร่ธาตุอย่างแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกระดูก การหดตัวของกล้ามเนื้อ และระบบการเผาผลาญพลังงาน ปริมาณแนะนำของวิตามินดีที่ควรได้รับ คือ 4000 ถึง 6000 IU ต่อวัน โดยปกติ เราสามารถได้รับวิตามินดีจากทั้งจากธรรมชาติและจากอาหารเสริม แหล่งธรรมชาติของวิตามินดีที่ใหญ่ที่สุดคือแสงแดด รองลงมาคือวิตามินที่อยู่ในอาหาร เช่น นม ไข่แดง หรือธัญพืช โอเมก้า 3 ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ที่เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่ง โอเมก้า 3 สามารถแก้ปัญหานี้ได้ อาหารที่พบว่ามีโอเมก้า 3 ในปริมาณสูง คือ น้ำมันปลา ซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อได้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ปัญหาสุขภาพที่ควรระวัง เมื่อต้องออกกำลังกายใน ฟิตเนส

ฟิตเนส หรือยิม เป็นสถานที่สำหรับออกกำลังกาย ที่มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาใช้บริการ จึงอาจทำให้เสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย  บทความนี้จึงชวนมาตรวจสอบดูว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้าง ที่ต้องระวังเวลาไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส ข้อควรระวังเมื่อออกกำลังกายที่ฟิตเนส ติดเชื้อโรค เราไปออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี แต่คงไม่ดีแน่ ถ้าเรากลับมาป่วยเพราะได้รับเชื้อโรคจากสถานที่ออกกำลังกาย เชื้อโรคและแบคทีเรียนั้นมีอยู่ทุกที่ รวมถึงในฟิตเนสด้วย ไม่วาจะเป็นไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา เชื้อโรคเหล่านี้มักพบบ่อยในบริเวณที่เปียกชื้น เช่น ห้องอาบน้ำ ฝักบัว ริมสระว่ายน้ำ  เชื้อโรคเหล่านี้อาจเกิดจาก เหงื่อที่แห้งบนอุปกรณ์ต่างๆ จนเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรียด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น แบคทีเรียยังสามารถเติบโตได้ในเครื่องออกกำลังกายที่มีคราบเหงื่อติดอยู่ หรือในห้องล็อกเกอร์ เราสามารถป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ด้วยการเช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์ และเครื่องออกกำลังกาย ทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย นอกจากนี้ ยังควรล้างมือบ่อยๆ และอาจสวมรองเท้าแตะเวลาอาบน้ำ เพราะการสวมรองเท้าแตะเวลาอาบน้ำในฟิตเนส จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย รวมถึงเชื้อราที่เล็บเท้าได้อีกทางหนึ่งด้วย อุปกรณ์ชำรุด คนมากกว่า 100 คน เข้ามาใช้อุปกรณ์ในฟิตเนสทุกวัน ซึ่งอาจทำให้อุปกรณ์ หรือเครื่องออกกำลังกายเกิดความเสียหาย จนทำให้เกิดอันตรายเวลาใช้งานได้ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ ด้วยการทดลองใช้เครื่องออกกำลังกายก่อน และแจ้งให้พนักงานทราบ หากพบว่าอุปกรณ์ชำรุด หรือทำงานผิดปกติ นอกจากนี้ หากคุณสังเกตเห็นว่ามีอุปกรณ์ที่เสื่อมสภาพ เช่น สายเคเบิลหย่อนเกินไป และดูจะใช้งานไม่ได้ ให้หยุดใช้อุปกรณ์และแจ้งพนักงานทันที การออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสม ออกกำลังกายผิดวิธี หรือใช้วิธีที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

ผอมแต่มีพุง อาจเพิ่มความเสี่ยงสุขภาพโดยไม่รู้ตัว

ผอมแต่มีพุง เป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนกังวลใจ เช่น ไม่มั่นใจเวลาใส่เสื้อผ้า แต่ปัญหาของคนผอมที่มีพุงอาจไม่ใช่แค่การรูดซิปไม่ขึ้นเวลาใส่กางเกงยีนส์ เนื่องจากมีงานวิจัยที่ชี้ว่าไขมันในช่องท้องของเรานั้น สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ และทั้งคนผอมและคนอ้วนต่างก็มีไขมันในช่องท้องได้ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงสุขภาพโดยไม่รู้ตัว ผอมแต่มีพุง มีลักษณะเป็นอย่างไร ถ้าคุณกินมากกินไปและไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย มีแนวโน้มว่าจะทำให้มีไขมันสะสมในร่างกายมาก นอกจากนี้ อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคืออายุ เนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลง และมวลไขมันเพิ่มขึ้น ซึ่งการที่มวลกล้ามเนื้อลดลงสามารถทำให้ร่างกายเผาผลาญ แคลอรี่ น้อยลง จึงอาจทำให้มีไขมันสะสมในร่างกายมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงหลายคนมีแนวโน้มว่าจะมีไขมันหน้าท้องมากเมื่ออายุมากขึ้น แม้ว่าน้ำหนักจะไม่ได้ขึ้นก็ตาม เนื่องจากการลดลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ส่งผลต่อ ไขมัน ในร่างกาย คุณอาจจะมีรูปร่างสมส่วน และมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ไม่เกิน 25 จึงไม่ถือว่ามีน้ำหนักเกินมาตรฐาน แต่กลับมีไขมันสะสมในช่องท้องมาก หรือมีพุง ซึ่งวิธีวัดว่ามี ไขมัน ในช่องท้องมากเกินไปหรือเปล่า สามารถทำได้ดังนี้ วัดรอบเอวด้วยสายวัด โดยยืนตัวตรงและพันสายวัดรอบเอว บริเวณเหนือสะโพก ดึงสายวัดให้พอดี โดยไม่ให้แน่นจนกดลงบนผิว ผ่อนคลาย หายใจออก และดูขนาดรอบเอว สำหรับผู้หญิง ถ้ามีขนาดรอบเอวมากกว่า 35 นิ้ว (89 เซนติเมตร) ถือว่ามี ไขมัน สะสมมากบริเวณหน้าท้อง ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ ผอมแต่มีพุง มีความเสี่ยงสุขภาพอย่างไรบ้าง เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด


ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

นวัตกรรม การผ่าตัดต่อมทอนซิลโต อุดกั้นทางเดินหายใจในเด็ก

ในเด็กที่มีขนาดต่อมทอนซิลโตมากอาจทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก นอนกรน และอาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย ซึ่งจะทำให้เด็กมีอาการอื่นๆตามมา เช่น ง่วงซึม สมาธิลดลง หรือก้าวร้าว พ่อแม่ของเด็กมักจะมาปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับบุตรหลานเนื่องจากต่อมทอนซิลโต หนึ่งในการรักษาที่ใช้กันทั่วไป คือ การผ่าตัดต่อมทอนซิลโต แต่เนื่องจากผลข้างเคียงจากการผ่าตัดที่มักเกิดขึ้น จึงมีการพัฒนานวัตกรรมการผ่าตัดแบบใหม่ที่เป็นทางเลือกที่ดีของการรักษาต่อมทอนซิลโตในเด็ก การผ่าตัดต่อมทอนซิลโต มีข้อดีข้อเสียอย่างไร โดยทั่วไป แพทย์จะแนะนำว่าการรักษาต่อมทอนซิลโตหลักๆ มี 2 วิธี คือ การใช้เครื่องช่วยหายใจขณะนอนหลับ หรือ CPAP การผ่าตัดต่อมทอนซิล (และ/หรือต่อมอะดินอยด์) ทิ้ง ในกรณีที่เลือกการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด โดยทั่วไป แพทย์จะใช้วิธีตัดต่อมทอนซิลทิ้งไปทั้งหมด (Removal of tonsil) อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2018 มีข้อมูลวิชาการทางการแพทย์รายงานชัดเจนแล้วว่าการผ่าตัดต่อมทอนซิลทิ้งไปเป็นความคิดที่ไม่ดี และการศึกษาเปรียบเทียบผู้ป่วยกลุ่มที่ตัดทอนซิลทิ้ง เทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ตัดทอนซิลโดยติดตามต่อไปเมื่ออายุมากขึ้น พบว่าการตัดทิ้งต่อมทอนซิลออกไปทำให้เพิ่มโอกาสมากกว่า 3 เท่าในการเกิดโรคภูมิแพ้ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบ และโรคอื่นๆ รวมแล้วกว่า 28 โรค นอกจากนี้ การตัดต่อมทอนซิลทิ้ง (Traditional tonsillectomy) ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกหลังการผ่าตัด (เทียบกับการผ่าตัดทอนซิลออกบางส่วน/Tonsillotomy) มากถึง 3 เท่า ด้วยเหตุนี้ ปัจจุบัน การผ่าตัดต่อมทอนซิลทิ้งในเด็กที่มีต่อมทอนซิลโตอุดกั้นทางเดินหายใจ จึงไม่เป็นที่นิยมในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้สมองของคุณสุขภาพดี

สมองเป็นเสมือนเครื่องกลตัวจิ๋วที่คอยบริหารร่างกายของคนเรา ภายในสมองเต็มไปด้วยเส้นประสาทมากมายที่ทำหน้าที่สัมพันธ์กันและส่งผลต่อกันและกัน สมองเป็นส่วนที่เราไม่ได้มองเห็นในทุกวัน จนบางครั้งก็หลงลืมที่จะใส่ใจสุขภาพของสมอง จนกระทั่งอายุมากขึ้นมีอาการหลงๆ ลืมๆ ทำให้เราเห็นความสำคัญของมันขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วเราสามารถดูแลสุขภาพของสมองได้ตั้งแต่เด็กเลยไม่ต้องรอให้สมองของเราเสื่อมสภาพเสียก่อน เครื่องกลยังต้องมีการซ่อมบำรุง สมองของเราก็เช่นกันค่ะ มาดู วิธีช่วยให้สมองสุขภาพดี กันดีกว่า วิธีช่วยให้สมองสุขภาพดี ทำได้ง่ายๆ  เคลื่อนไหวร่างกาย การออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยให้สมองของเราสุขภาพดีขึ้น โดยอย่างน้อยต้องมีการออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ งานวิจัยชิ้นหนึ่งมีการทดสอบโดยให้ผู้สูงอายุเดินออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 150 นาทีต่อสัปดาห์นานเป็นเวลา 1 ปี ทำให้ผู้สูงอายุกลุ่มนี้มีการพัฒนาในเรื่องของความจำดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สร้างกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายแบบแอโรบิคร่วมกับการออกกำลังกายแบบที่มีความเข้มข้นสูงอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์สามารถทำให้สุขภาพของหัวใจดีขึ้นได้ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนช่วยให้สุขภาพของ สมองดีขึ้นอีกด้วย อาหาร เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพของหัวใจ ในแต่ละมื้ออาหารเราควรให้มีผักครึ่งหนึ่ง ธัญพืช 1 ส่วน 4ของอาหารทั้งหมด เพื่อให้ร่างกายของเราได้รับกากใยอาหารเพิ่มขึ้นและยังช่วยควบคุมน้ำหนัก อีกทั้งยังรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ลดความเครียด เมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่เครียดหรือเกิดความวิตกกังวลจะส่งผลให้สุขภาพจิตของเราย่ำแย่ และยังทำให้สมองของเราเกิดความย่ำแย่ตามมาด้วย  เมื่อเกิดความเครียดเราควรรีบหาวิธีจัดการ เพื่อให้ร่างกายอยู่ในภาวะปกติ เช่น การทำสมาธิช่วยบรรเทาความเครียดได้ นอนหลับให้เพียงพอ การที่เราได้รับการนอนหลับที่ไม่เพียงพอจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย สุขภาพของเราย่ำแย่ลง สมองก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่นๆ ที่ต้องการการพักผ่อน เมื่อสมองถูกใช้งานมาทั้งวัน การนอนหลับก็เป็นวิธีการที่ดีที่จะให้สมองได้พัก เมื่อสมองได้พักผ่อนอย่างเพียงพอสุขภาพของสมองก็จะดีขึ้น เลิกสูบบุหรี่ การเลิกบุหรี่เป็นเรื่องแรกๆ ที่คุณสามารถช่วยให้สมองของคุณสุขภาพดีได้ งานวิจัยชี้ว่าผู้ที่สูบบุหรี่ 2 ซองต่อวันจะมีโอกาสเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่าเมื่ออายุมากขึ้น ส่วนคนที่ดูดบุหรี่ครึ่งซองหรือ […]


การทดสอบทางการแพทย์

อาการปากแห้ง หลังตื่นนอน

เมื่อตื่นนอนขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมกับ อาการปากแห้ง ซึ่งทำให้เราหงุดหงิดและรำคาญ จริงๆ แล้วอาการที่ปากแห้งมีสาเหตุมาได้จากหลายอย่าง แต่ไม่ทราบว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร ลองไปอ่านบทความนี้เพื่อทำความรู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้น เมื่อรู้ถึงสาเหตุเราจะได้แก้ปัญหากันได้ง่ายกว่าที่เคย อาการปากแห้ง หลังตื่นนอน คืออะไร อาการช่องปากแห้งหลังจากตื่นนอนในตอนเช้า ในทางการแพทย์เรียกว่า Xerostomia เป็นภาวะที่ปากมีอาการแห้งกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากการที่ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายออกมาได้ไม่เพียงพอ ที่จะทำให้ปากของเรามีความชุ่มชื่น โดยปกติแล้วมีสาเหตุมาจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด ปัญหาอายุที่มากขึ้น หรือเป็นผลจากรังสีที่ผู้ป่วยมะเร็งเข้ารับการรักษา น้ำลายมีหน้าที่ในการช่วยป้องกันฟันผุ โดยทำให้กรดที่ผลิตโดยแบคทีเรียลดลง จำกัดการเติบโตของแบคทีเรียและกำจัดเศษอาหารออกไป นอกจากนี้น้ำลายยังช่วยเพิ่มความสามารถในการลิ้มรสและทำให้เคี้ยวและกลืนง่ายขึ้นง่าย นอกจากนี้เอนไซม์ในน้ำลายยังช่วยในการย่อยอาหารอีกด้วย และอาจเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยทั่วไป ของสุขภาพฟันและเหงือกของคุณ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อความอยากอาหารและความเพลิดเพลินในการรับประทานอาหารอีกด้วย อะไรกันที่ทำให้เรา ปากแห้งหลังตื่นนอน เมื่อมีอาการช่องปากแห้งมีสาเหตุมาจากต่อมน้ำลายในปากผลิตน้ำลายออกมาไม่เพียงพอ และทำให้ปากของเราขาดความชุ่มชื่น และการที่ต่อมน้ำลายทำงานผิดปกติอาจเกิดจากปัญหาเหล่านี้ การใช้ยา ยาหลายร้อยชนิด รวมทั้งยาที่ขายตามร้านขายยาทั่วไปบางชนิดมีผลข้างเคียงทำให้มีอาการปากแห้งโดยเฉพาะยาบางประเภทจะมีแนวโน้มก่อให้เกิดปัญหามาก ได้แก่ บางตัวที่ใช้ในการรักษาอาการซึมเศร้า ความดันโลหิตสูง ยาคลายวิตกกังวล ยาต้านฮิสตามีนซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ใช้ในการรักษาอาการภูมิแพ้ต่างๆ ยาหดหลอดเลือด ยาคลายกล้ามเนื้อ และยาระงับอาการปวด การรักษาโรคมะเร็ง เคมีบำบัดที่ผู้ป่วยมะเร็งได้รับมีผลต่อความสามารถในการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของน้ำลายและการผลิต เคมีบำบัดอาจทำให้มีอาการปากที่แห้งเพียงชั่วคราวและน้ำลายอาจจะกลับมาทำงานได้อย่างปกติเมื่อหยุดรับเคมีบำบัด นอกจากนี้การรักษาด้วยการฉายแสงที่ศีรษะและขอยังส่งผลต่อการทำงานของต่อมน้ำลายให้ผลิตน้ำลายได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาการปากแห้งจากการฉายรังสีอาจจะเกิดขึ้นแค่ชั่วคราวหรืออาจจะเกิดถาวรทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีที่ได้รับและส่วนที่โดนรังสีว่ามากน้อยเพียงใด การเสียหายของเส้นประสาท การได้รับบาดเจ็บหรือการผ่าตัดที่ทำให้เส้นประสาทบริเวณศีรษะและคอเสียหายก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปากแห้งได้ ภาวะสุขภาพอื่น ๆ อาจเป็นผลกระทบที่เกิดจากโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง การติดเชื้อราในปาก โรคอัลไซเมอร์ โรคภูมิต้านตนเองเช่นโรค Sjogren หรือ HIV / AIDS ไปจนถึงการนอนกรน […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

วิธีเพิ่ม สารโดพามีน “ฮอร์โมนความสุข” แบบเป็นธรรมชาติ

สารโดพามีน หรือโดปามีน (Dopamine) ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมองหลายส่วน เช่น ความจำ การเคลื่อนไหว รวมไปถึงระบบรางวัลของสมอง ที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุข พึงพอใจ จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนความสุข” หากร่างกายหลั่งโดพามีนน้อยเกินไป อาจส่งผลให้ซึมเศร้า เหนื่อยล้า นอนไม่หลับ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่อย่าเพิ่งตกใจ เพราะ Hello คุณหมอ มีวิธีเพิ่มโดพามีนแบบง่ายๆ และเป็นธรรมชาติมาฝากแล้ว วิธีเพิ่มสารโดพามีนแบบเป็นธรรมชาติ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า การเล่นโยคะสัปดาห์ละ 6 วันๆ ละ 1 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือนสามารถช่วยเพิ่มการหลั่งสารโดพามีนได้จริง การออกกำลังกายเป็นประจำไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มระดับโดพามีน แต่ยังช่วยให้อารมณ์และสุขภาพโดยรวมดีขึ้นด้วย ฟังเพลงบรรเลง เพิ่ม สารโดพามีน การศึกษาภาพสมองหลายชิ้นพบว่า การฟังเพลงช่วยเพิ่มกิจกรรมในสมองส่วนที่ทำให้เรารู้สึกพอใจและรู้สึกดี ซึ่งในบริเวณนั้นมีตัวรับโดพามีน (dopamine receptor) อยู่มากมาย ทั้งยังมีผลการวิจัยชิ้นหนึ่งที่พบว่า อาสาสมัครที่ฟังเพลงบรรเลง ช่วยให้ผ่อนคลาย มีระดับโดพามีนในสมองเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9 เลยทีเดียว กินโปรตีนให้เยอะขึ้น กรดอะมิโนชนิด ฟีนิลอะลานีน (Phenylalanine) และไทโรซีน (Tyrosine) มีหน้าที่สำคัญในการสร้างโดพามีน พบได้มากในอาหารโปรตีนสูง […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน