สุขภาพ

สุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญ เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป และอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยคุณได้แน่นอน

เรื่องเด่นประจำหมวด

สุขภาพ

โรคไวรัสตับอักเสบบี คือโรคอะไร ใครควรได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

โรคไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) เป็นหนึ่งในไวรัสตับอักเสบ ซึ่งมีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ บี ซี ดี และอี โดยไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี เป็นชนิดที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยตรง มีเพียงยาที่ช่วยไม่ให้ตับถูกทำลาย โรคไวรัสตับอักเสบบี จึงเป็นโรคที่ควรตรวจคัดกรองเพื่อเข้ารับการรักษาโดยเร็ว และป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี  [embed-health-tool-vaccination-tool] โรคไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคตับอักเสบชนิดหนึ่ง หรือเกิดจากการอักเสบของเซลล์ตับ สาเหตุจากการ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) อาจทำให้เซลล์ตับตาย ความรุนแรงของโรคไวรัสตับอักเสบ บี เมื่อเป็นเรื้อรังจะเกิดพังผืด อาจกลายเป็นตับแข็ง นำสู่โรคมะเร็งตับได้  การติดต่อของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี  ส่วนใหญ่การติดต่อของโรคเกิดจากการถ่ายทอดจากแม่ที่ติดเชื้อสู่ทารก ไม่ติดต่อผ่านทางการสัมผัสภายนอก ไม่ติดต่อหลักทางน้ำลาย แต่ติดต่อได้ ดังนี้ สามารถเกิดได้จากการเจาะหรือสักผิวหนัง ด้วยเครื่องมือที่ไม่สะอาด ไม่ได้มาตรฐาน เชื้อเข้าทางบาดแผล หรือการใช้ยาเสพติด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน  สัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ อาการของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เชื้อไวรัสตับอักเสบบีจะไม่แสดงอาการในทันที แต่จะใช้เวลาฟักตัว 2-3 เดือน จึงเริ่มมีอาการ เช่น เกิดการอ่อนเพลียคล้ายกับโรคหวัด คลื่นไส้ อาเจียน จุกแน่นใต้ชายโครงขวาจากตับโต  สีปัสสาวะเข้มขึ้น […]

หมวดหมู่ สุขภาพ เพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

สำรวจ สุขภาพ

ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

หมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอก (External Cephalic Version)

ข้อมูลพื้นฐานการหมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอกคืออะไร การหมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอก (external cephalic version หรือ ECV) เป็นหัตถการประเภทหนึ่งในการเปลี่ยนทารกในครรภ์จากท่าก้นให้เป็นท่าศีรษะ ซึ่งถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ผล หากทารกอยู่ในท่าก้นหลังจากอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ แพทย์จะแนะนำให้ใช้การหมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอก เพื่อใหคุณมีโอกาสในการคลอดธรรมชาติมากที่สุด วิธีหมุนเปลี่ยนท่าทารกในครรภ์วิธีนี้ถือว่าเหมาะสำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ ความจำเป็นในการ หมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอก แพทย์จะแนะนำให้คุณรับการหมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอก หากคุณมีภาวะดังต่อไปนี้ ตั้งครรภ์ 36 ถึง 42 สัปดาห์ – ก่อนอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ ทารกในครรภ์มีโอกาสเปลี่ยนเป็นท่ากลับศีรษะด้วยตัวเอง แต่การหมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอกอาจได้ผลมากกว่า หากทำโดยเร็วที่สุดหลังอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ เนื่องจากทารกในครรภ์ยังมีขนาดเล็ก ล้อมรอบไปด้วยน้ำคร่ำ และมีที่ว่างมากกว่าในการเคลื่อนที่ในมดลูกได้ ตั้งครรภ์โดยมีทารกในครรภ์เพียงคนเดียว ทารกในครรภ์ไม่เข้าไปในเชิงกราน ซึ่งทารกในครรภ์ที่ติดอยู่จะเคลื่อนที่ได้ยาก มีน้ำคร่ำที่ล้อมรอบทารกในครรภ์เพียงพอสำหรับการหมุนท่าทารกในครรภ์ หากปริมาณน้ำคร่ำต่ำกว่าปกติ (oligohydramnios) จะทำให้ทารกในครรภ์เสี่ยงได้รับบาดเจ็บในระหว่างการหมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอกมากขึ้น เคยตั้งครรภ์มาก่อน นั่นหมายความว่า ผนังช่องท้องมักมีความยืดหยุ่นมากกว่า และสามารถขยายได้ในระหว่างการหมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอก แต่ถึงแม้จะเพิ่งเคยตั้งครรภ์ครั้งแรก ก็สามารถหมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอกได้เช่นกัน ทารกในครรภ์อยู่ในท่าก้นนำ ท่าก้นทั้งหมด หรือท่าเท้าเหยียดลงไปต่ำสุด ความเสี่ยงความเสี่ยงของการ หมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอก หากคุณมีภาวะเหล่านี้ แพทย์จะไม่แนะนำให้เข้ารับการการหมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอก ถุงน้ำคร่ำแตก คุณมีภาวะโรค เช่น ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ที่ทำให้คุณไม่สามารถใช้ยากลุ่มโทโคไลติก (tocolytic medicines) บางชนิด ที่ใช้เพื่อป้องกันการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก (uterine contractions) จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าคลอด (cesarean delivery) […]


ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

ผ่าตัดเส้นเลือดขอด (Varicose Vein Surgery)

ข้อมูลพื้นฐานการผ่าตัดเส้นเลือดขอดคืออะไร การผ่าตัดเส้นเลือดขอด (Varicose Vein Surgery) เป็นการรักษาเส้นเลือดขอด หรือหลอดเลือดขอด (Varicose veins) ซึ่งเป็นความผิดปกติของหลอดเลือดผ่าตัดเส้นเลือดขอด (Varicose Vein Surgery)ดำใต้ผิวหนังที่บิดนูนและขยายตัว ส่วนใหญ่จะพบมากบริเวณขา เส้นเลือดขอดมีแนวโน้มถ่ายทอดในครอบครัวและมีอาการแย่ลงจากการตั้งครรภ์และการยืนเป็นเวลานาน หลอดเลือดดำที่ขามีลิ้นเปิดปิดทางเดียวจำนวนมาก ที่ช่วยให้กระแสเลือดที่ไหลไปด้านบนให้ไหลกลับสู่หัวใจได้ หากลิ้นเปิดปิดเหล่านั้นไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม เลือดจะไหลเวียนผิดทิศทาง ทำให้หลอดเลือดโปร่งและเกิดเส้นเลือดขอดได้ ความจำเป็นในการ ผ่าตัดเส้นเลือดขอด ส่วนใหญ่แล้ว เส้นเลือดขอดมักไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงแต่อย่างใด หากเส้นเลือดขอดของคุณส่งผลต่อสุขภาพ แพทย์อาจแนะนำให้คุณปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ แต่ในบางกรณี เส้นเลือดขอดอาจส่งผลให้เกิดอาการแทรกซ้อน เช่น อาการปวด การเกิดลิ่มเลือด แผลที่ผิวหนัง และหากร้ายแรงแพทย์อาจแนะนำให้ใช้วิธีรักษาหลายวิธีควบคู่กันไป การผ่าตัดเส้นเลือดขอดจะช่วยลดความดันในหลอดเลือดดำใต้ผิวหนัง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือดที่ขอดอยู่แล้วขยายตัวมาขึ้น ทั้งยังป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอดใหม่ๆได้ด้วย สำหรับผู้ที่มีแผลหรือผิวหนังเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเส้นเลือดขอด การผ่าตัดเส้นเลือดขอดยังช่วยไม่ให้ปัญหาที่มีแย่ลง และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลจากเส้นเลือดขอดในอนาคต บางครั้งการผ่าตัดเส้นเลือดขอดยังใช้ในการรักษาภาวะหลอดเลือดดำอักเสบ (Phlebitis) ด้วย การผ่าตัดเส้นเลือดขอด มีทั้งการผ่าเอาหลอดเลือดดำที่ขอดออกไป และการผนึกหลอดเลือดดำด้วยความร้อนหรือการฉีดยาเฉพาะ การผ่าตัดเอาเส้นเลือดขอดออกจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิต และปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณขา เพราะเลือดจะถูกลำเลียงผ่านหลอดเลือดเส้นอื่นที่แข็งแรงกว่าแทน โดยเฉพาะหลอดเลือดดำชั้นลึก ความเสี่ยงความเสี่ยงของการ ผ่าตัดเส้นเลือดขอด การผ่าตัดเส้นเลือดขอดจัดเป็นการผ่าตัดที่ปลอดภัย และมีความเสี่ยงน้อย แต่ก็อาจส่งผลให้เกิดรอยช้ำ รอยบวม ผิวหนังเปลี่ยนสี หรือมีอาการปวดเล็กน้อยได้ ส่วนการผ่าตัดลอกเอาเส้นเลือดขอดออก (High Ligation and Stripping) อาจทำให้มีอาการปวดรุนแรง เกิดปฏิกิริยาแพ้ยาระงับความรู้สึก ติดเชื้อ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

6 วิธีรับมือ อาการอ่อนเพลียจากการรักษามะเร็ง

สำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังเข้ารับการรักษาโรคนี้อยู่ คุณอาจมี อาการอ่อนเพลียจากการรักษามะเร็ง ที่เกิดขึ้นได้ทั้งระหว่างเข้ารับการรักษาและหลังรักษา ซึ่งความรู้สึกเหนื่อยล้านี้มักไม่ดีขึ้นแม้คุณได้พักหรือนอนหลับแล้วก็ตาม อาการนี้เรียกว่า อาการอ่อนเพลียจากโรคมะเร็ง และส่งผลเสียต่ออารมณ์ ความสัมพันธ์และกิจวัตรประจำวัน Hello คุณหมอ ขอนำเสนอวิธีที่จะมาช่วยในการควบคุมอาการอ่อนเพลียที่เกิดขึ้น และปรับสภาพความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้นมาฝากกันค่ะ 6 วิธีรับมือ อาการอ่อนเพลียจากการรักษามะเร็ง 1. พักผ่อนให้พอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป ควรจัดตารางเวลาเพื่อให้มีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ เช่น คุณอาจพักสายตาช่วงสั้น ๆ ประมาณครึ่งชั่วโมง แทนการพักนาน ๆ ในระหว่างวัน และต้องพยายามนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมง แต่ระวังอย่านอนมากไป เพราะจะทำให้ระดับพลังงานของร่างกายลดลงได้ 2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เวลาที่คุณรู้สึกเหนื่อยตลอดทั้งวัน การจะให้ตื่นตัวอยู่เสมออาจฟังดูยาก แต่งานวิจัยเผยว่า การออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มพลังงาน และบรรเทาอาการอ่อนเพลีย โดยคุณสามารถเริ่มออกกำลังกายได้ ด้วยเทคนิคง่าย ๆ เหล่านี้ เริ่มจากการออกกำลังกายเบา ๆ ที่เหมาะกับระดับของคุณ เช่น การเดิน การฝึกโยคะ การว่ายน้ำ เพิ่มระดับหรือความยากตามต้องการ ฟังร่างกายตนเองให้ดี อย่าหักโหมเกินไป แต่ควรทำอย่างต่อเนื่อง จดบันทึกความก้าวหน้าและปรึกษาผู้ดูแลสุขภาพ เพื่อคำแนะนำเพิ่มเติม 3. ปรับพฤติกรรมการนอน นิสัยการนอนหลับที่ดี เป็นวิธีที่ทำให้สภาพร่างกายและจิตใจแข็งแรง และเทคนิคต่อไปนี้จะช่วยทำให้การนอนของคุณดีขึ้น ช่วงเช้า ตื่นในเวลาเดิมทุกวัน ไม่ว่าคุณจะนอนหลับได้กี่ชั่วโมงก็ตาม ช่วงกลางวัน งีบช่วงสั้น ๆ ระหว่างเวลาเที่ยงวันและบ่ายสามโมง […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

คลื่นไส้และอาเจียน (Nausea and Vomiting)

คลื่นไส้และอาเจียน (Nausea and Vomiting) เป็นอาการที่แสดงออกผ่านอาการไม่สบายท้อง และอยากอาเจียน (Vomit) อาการคลื่นไส้เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของการอาเจียน เพื่อขับสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารออกมา อาการคลื่นไส้และอาเจียน (Nausea and Vomiting) สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ก็ได้   คำจำกัดความคลื่นไส้และอาเจียน คืออะไร คลื่นไส้และอาเจียน (Nausea and Vomiting) เป็นอาการที่แสดงออกผ่านอาการไม่สบายท้อง และอยากอาเจียน (Vomit) อาการคลื่นไส้เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของการอาเจียน เพื่อขับสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารออกมา อาการคลื่นไส้และอาเจียน (Nausea and Vomiting) สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ก็ได้ พบบ่อยเพียงใด คลื่นไส้และอาเจียนสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการลดความเสี่ยง โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อาการอาการคลื่นไส้และอาเจียน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่อยู่ในภาวะ อาการคลื่นไส้และอาเจียน มีลักษณะอาการดังต่อไปนี้ กรดไหลย้อน มีไข้ เวียนศีรษะ ไม่สบายท้อง ปวดท้อง ควรไปพบหมอเมื่อใด ควรเข้าพบหมอหากคุณหรือคนที่คุณรักมีอาการ ดังต่อไปนี้ อาการคลื่นไส้ที่ร่วมกับกับอาการหัวใจวาย อาการหัวใจวาย ได้แก่ อาการเจ็บแน่นหน้าอก ปวดศีรษะรุนแรง ปวดกราม เหงื่อออก หรือปวดที่แขนซ้าย อาการคลื่นไส้เกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง หายใจลำบากหรือมึนงง อาการคลื่นไส้เกิดตามหลังสารพิษเข้าสู่ร่างกาย อาการคลื่นไส้เกิดร่วมกับภาวะขาดน้ำ เกิดอาการรับประทานหรือดื่มน้ำไม่ได้นานกว่า 12 ชั่วโมง เนื่องจากอาการคลื่นไส้ อาการคลื่นไส้เกิดนานกว่า 4 ชั่วโมงหลังจากการรับประทานยาที่หาซื้อตามร้านขายยาทั่วไป เมื่อสังเกตว่าเกิดอาการต่าง ๆ หรือมีคำถาม ควรปรึกษาแพทย์ ร่างกายของแต่ละคนแสดงอาการแตกต่างกัน ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อสอบถามถึงวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับอาการที่เกิดขึ้น สาเหตุสาเหตุของ อาการคลื่นไส้และอาเจียน สาเหตุของ อาการคลื่นไส้และอาเจียน […]


การทดสอบทางการแพทย์

ตรวจวัดปริมาณไขมันดี (HDL Cholesterol Test)

ตรวจวัดปริมาณไขมันดี (HDL Cholesterol Test) เป็นการวัดระดับของคอเลสเตอรอลดีในเลือด แพทย์อาจสั่งให้มีการตรวจวัดไขมันดี เพื่อเป็นการติดตามผล จากการตรวจวัดระดับคอเลสเตอรอลที่อยู่ในระดับสูง   ข้อมูลพื้นฐานการ ตรวจวัดปริมาณไขมันดี คืออะไร ตรวจวัดปริมาณไขมันดี (HDL Cholesterol Test) เป็นการวัดระดับของคอเลสเตอรอลดีในเลือด ไขมันดี (HDL) คือ คอเลสเตอรอลไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง ไลโปโปรตีนประกอบด้วยโปรตีนและไขมัน ไขมันเอชดีแอล รู้จักกันในชื่อ คอเลสเตอรอลดี เนื่องจากไขมันชนิดนี้ดักเอาคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นต่ำ (LDL) ไตรกลีเซอไรด์ และไขมันที่เป็นอันตรายและส่งไปที่ตับเข้าสู่กระบวนการ เมื่อไขมันดีเข้าสู่ตับ จากนั้นตับจะทำการย่อยไขมันไม่ดีให้อยู่ในรูปของน้ำดีและขับออกจากร่างกาย งานวิจัยเผยว่า ผู้ที่ระดับไขมันดีอยู่ในระดับที่เหมาะสม มีความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอยู่ในระดับต่ำ ความจำเป็นในตรวจวัดปริมาณไขมันดี แพทย์อาจสั่งให้มีการตรวจวัดไขมันดี เพื่อเป็นการติดตามผลจากการวัดระดับคอเลสเตอรอลที่อยู่ในระดับสูง การตรวจวัดไขมันดีมักทำควบคู่ไปกับการวัดระดับอื่น ๆ ด้วย เช่น คอเลสเตอรอลโดยรวม ไขมันเลว และไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของการตรวจวัดค่าลิปิดโปรไฟล์ (lipid profile) ที่เป็นการตรวจสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ปัจจัยเสี่ยงหลัก ๆ มีดังนี้ การสูบบุหรี่ อายุ (ชาย 45 ปีขึ้นไป หรือหญิงอายุ 55 ปีขึ้นไป) ความดันโลหิตสูง (ระดับค่า 140/90 หรืออยู่ระหว่างการใช้ยารักษาอาการความดันโลหิตสูง) ประวัติครอบครัวที่เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจก่อนวัย (สมาชิกในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ […]


การทดสอบทางการแพทย์

ตรวจแอนติบอดีที่ต่อต้านดีเอ็นเอ (Anti-DNA Antibody Test)

ข้อมูลพื้นฐานการตรวจแอนติบอดีที่ต่อต้านดีเอ็นเอ คืออะไร การตรวจแอนติบอดีที่ต่อต้านดีเอ็นเอ (Anti-DNA antibody test) เป็นการตรวจเพื่อวินิจฉัย และติดตามอาการโรคภูมิแพ้ตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus หรือ SLE) ส่วนใหญ่แล้ว จะพบแอนติบอดีชนิดนี้ในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ตนเองจำนวนร้อยละ 65 ถึง 80 อาการของโรคภูมิแพ้ตนเอง คือ มีแอนติบอดีที่ต่อต้านดีเอ็นเอในปริมาณสูง อย่างไรก็ตาม หากปริมาณความเข้มข้นของแอนติบอดีอยู่ในระดับกลางหรือต่ำ อาจหมายความว่าคุณไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ตนเอง เนื่องจาก ยังมีโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆ ที่พบว่า เกี่ยวข้องกับระดับความเข้มข้นของแอนติบอดีอยู่ในระดับกลางหรือต่ำ ความจำเป็นในการ ตรวจแอนติบอดีที่ต่อต้านดีเอ็นเอ แพทย์จะเจาะจงการตรวจชนิดนี้ เมื่อคุณมีสัญญาณหรืออาการที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือมีผลการตรวจเอเอ็นเอ (ANA test) เป็นบวก อาการของโรคภูมิแพ้ตนเอง ได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อ ไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ผมร่วง น้ำหนักลด ผิวไวต่อแสง ปวดข้อ เหมือนอาการข้ออักเสบ แม้ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ชาหรือเสียวแปลบที่มือและเท้าเหมือนโดนเข็มทิ่ม การตรวจนี้สามารถใช้ในการติดตามและบ่งชี้อาการกำเริบของโรคลูปัสชนิดร้ายแรงได้ด้วย ข้อควรรู้ก่อนตรวจข้อควรรู้ก่อนการ ตรวจแอนติบอดีที่ต่อต้านดีเอ็นเอ คุณควรระวังปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการตรวจ ดังต่อไปนี้ หากคุณรับการตรวจด้วยรังสีภายใน 1 สัปดาห์ก่อนการตรวจหาแอนติบอดี ผลการตรวจอาจคลาดเคลื่อนได้ ยาชนิดต่างๆ อาจเพิ่มความเข้มข้นของแอนติบอดีที่ต่อต้านดีเอ็นเอ เช่น ไฮดราลาซีน (hydralazine) โปรคาอินนาไมด์ (procainamide) บางครั้งผลการตรวจอาจเป็นบวกได้ หากคุณเป็นโรคบางอย่าง เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง ท่อน้ำดีอุดตัน การติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดปรึกษาแพทย์ ขั้นตอนการตรวจการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจแอนติบอดีที่ต่อต้านดีเอ็นเอ แพทย์จะอธิบายขั้นตอนต่างๆ […]


การทดสอบทางการแพทย์

ตรวจวัดการแข็งตัวของเลือด (Activated Clotting Time)

การ ตรวจวัดการแข็งตัวของเลือด (Activated Clotting Time) คือการตรวจสอบประสิทธิภาพของสารต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาเฮพาริน หรือยากลุ่มทรอมบินอินฮิบิเตอร์ ข้อมูลพื้นฐานการตรวจวัดการแข็งตัวของเลือด คืออะไร การตรวจวัดการแข็งตัวของเลือด (Activated clotting time หรือ ACT) เป็นการตรวจสอบประสิทธิภาพของสารต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาเฮพาริน (heparin) หรือยากลุ่มทรอมบินอินฮิบิเตอร์ (thrombin inhibitors) ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการผ่าตัดขยายเส้นเลือด (angioplasty) การฟอกไต (kidney dialysis) และการผ่าตัดบายพาสหัวใจ (CPB) การตรวจชนิดนี้จะวัดระยะเวลาการแข็งตัวของเลือด หลังจากให้สารกระตุ้น แพทย์จะติดตามอาการของคุณในขณะที่คุณเข้ารับการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาเฮพาริน การตรวจวัดการสร้างสภาวะลิ่มเลือด (Activated Partial Thromboplastin Time หรือ APTT) และการตรวจวัดการแข็งตัวของเลือด (ACT) จะใช้เพื่อติดตามอาการของผู้ที่กำลังรักษาด้วยยาเฮพาริน จากการเข้ารับการผ่าตัดบายพาสหัวใจ (Cardiopulmonary Bypass หรือ CPB) แต่การตรวจวัดการแข็งตัวของเลือด มีข้อดีมากกว่าการตรวจวัดการสร้างสภาวะลิ่มเลือด ประการแรก การตรวจวัดการแข็งตัวของเลือดให้ผลที่แน่นอนกว่า เมื่อมีการให้ยาเฮพารินเพื่อต้านการแข็งตัวของเลือดในปริมาณสูง วิธีการนี้มีประโยชน์ในกรณีที่มีการใช้ยาเฮพารินปริมาณสูง เช่น การทำบายพาสหัวใจ ซึ่งต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดมากกว่าลิ่มเลือดถึง 10 […]


ขั้นตอนทางการแพทย์และการผ่าตัด

ผ่าตัดข้อเท้าด้วยวิธีส่องกล้อง (Ankle Arthroscopy)

ข้อมูลพื้นฐานการผ่าตัดข้อเท้าด้วยวิธีส่องกล้อง คืออะไร การผ่าตัดข้อเท้าด้วยวิธีส่องกล้อง (Ankle Arthroscopy) เป็นวิธีที่ทำให้ศัลยแพทย์ทำการวินิจฉัย และรักษาอาการบางอย่างที่ส่งผลต่อข้อเท้าได้ โดยไม่ต้องมีการกรีดผ่า ซึ่งอาจช่วยลดอาการเจ็บปวดของคุณ และทำให้การฟื้นตัวเร็วขึ้น การผ่าตัดส่องกล้องทำให้ศัลยแพทย์มองเห็นภายในของข้อเท้า โดยการส่องกล้องผ่านช่องตัดเล็กๆ บนผิวหนัง ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้ เช่น ความเสียหายที่ผิวข้อต่อหรือเส้นเอ็น ข้ออักเสบ ความจำเป็นในการ ผ่าตัดข้อเท้าด้วยวิธีส่องกล้อง การผ่าตัดส่องกล้องไม่สามารถรักษาอาการปวดข้อที่เกิดขึ้นจากทุกสาเหตุ คุณอาจเข้ารับการผ่าตัดส่องกล้องได้ หากคุณมีเศษเล็กๆ อยู่ในข้อเท้าจากการหักของกระดูกอ่อน หรือจากกระดูกชิ้นเล็ก คุณยังสามารถใช้วิธีนี้ได้ หากเกิดความเสียหายที่เส้นเอ็นจากอาการข้อเท้าแพลงชนิดรุนแรง เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินความเสียหาย และรักษาต่อไป ความเสี่ยงความเสี่ยงของการผ่าตัดข้อเท้าด้วยวิธีส่องกล้อง การผ่าตัดข้อเท้าด้วยวิธีส่องกล้องเป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย และมีอัตราการเกิดอาการแทรกซ้อนต่ำ อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดวิธีนี้ คล้ายกับการผ่าตัดด้วยวิธีอื่นๆ กล่าวคือ มีความเสี่ยงจากการใช้ยาชา ขึ้นอยู่ประเภทที่เลือกใช้ ผู้เข้ารับการผ่าตัดบางราย อาจเจอกับอาการแทรกซ้อน ดังต่อไปนี้ เกิดเลือดออกจากการตัดโดนเส้นเลือด เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทโดยรอบ ความดันในช่องกล้ามเนื้อสูง บริเวณกระดูกน่องบวม เกิดการติดเชื้อที่ข้อต่อข้อเท้า อาการปวดรุนแรง จนข้อติดและข้อเท้าไม่สามารถใช้การได้ นอกจากการส่องกล้องเพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาปัญหาที่ข้อเท้าแล้ว แพทย์อาจใช้วิธีตรวจวินิจฉัยอื่นๆ เช่น การตรวจเอ็มอาร์ไอ (MRI scan) แต่ก็ยังจำเป็นต้องรักษาอาการด้วยการผ่าตัดข้อเท้าด้วยวิธีส่องกล้อง คุณควรทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและอาการแทรกซ้อนต่างๆ ก่อนเข้ารับการผ่าตัดดังกล่าว หากมีข้อสงสัยใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์หรือศัลยแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ขั้นตอนการผ่าตัดการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการ ผ่าตัดข้อเท้าด้วยวิธีส่องกล้อง โดยทั่วไป ควรงดอาหารและเครื่องดื่มก่อนการผ่าตัด แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่คุณใช้อยู่ แพทย์จะแนะนำไม่ให้คุณใช้ยาต้านอาการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วาร์ฟาริน เป็นเวลา 2-3 […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

เผยความลับ! สร้างความแข็งแรงให้กระดูก ง่ายนิดเดียว!

กระดูก มีความสำคัญต่อการเคลื่อนไหว และกิจกรรมต่างๆ ที่คุณทำ ในขณะที่บางคนมีความเสี่ยง ต่อการเกิดกระดูกเปราะบางได้มากกว่าคนอื่น แต่มีวิธีมากมาย ที่คุณสามารถช่วย สร้างความแข็งแรงให้กระดูก ได้ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง อาหารที่มีแคลเซียมสูงประกอบด้วย โยเกิร์ต ชีส และผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันต่ำ และมีแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก เพื่อประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น คุณควรรับประทานควบคู่กับผักใบเขียวเข้ม ซึ่งมีปริมาณแคลเซียมอยู่สูง อาหารประเภทอื่นๆ ที่เสริมสร้างกระดูก ได้แก่ เต้าหู้ และหากคุณแพ้ผลิตภัณฑ์จากนม ลองรับประทานถั่วเหลือง หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นอันตรายต่อกระดูก อาหารประเภทนี้ ได้แก่ กาแฟ แอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ คาเฟอีนมีประโยชน์ต่อสุขภาพบางประการ แต่ไม่ส่งผลดีต่อกระดูก การดื่มคาเฟอีนมากเกินไป รบกวนประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย การศึกษาหนึ่งเผยว่า การดื่มกาแฟมากกว่าวันละสองแก้ว เร่งการสูญเสียมวลกระดูก ในผู้ที่ไม่ได้รับแคลเซียมที่เพียงพอ ผลของการดื่มแอลกอฮอล์ คล้ายกับการดื่มกาแฟ คือทำให้สูญเสียมวลกระดูก เนื่องจากแอลกอฮอล์รบกวนการดูดซึมวิตามินดี เดินออกกำลัง ลองออกกำลังกาย ด้วยการวิ่งเหยาะหรือเดิน หรือแอโรบิค อย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรออกกำลังกายแบบเข้มข้น พร้อมกับการทำกิจกรรมแบบเบาๆ สัปดาห์ละ 2-3ครั้ง ยกน้ำหนัก การออกกำลังกายที่ใช้แรงต้าน จำเป็นต้องใช้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ที่นอกจากจะช่วยเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ ยังเสริมสร้างกระดูกด้วย  อุปกรณ์สำหรับการออกกำลังประเภทนี้ […]


ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทั่วไป

แผลที่ใกล้หาย ทำไมถึงคัน-คั้น-คัน?!

นี่เป็นสิ่งที่แทบทุกคนต่างต้องเคยเจอ เมื่อ แผลที่ใกล้หาย เกิดอาการคันขึ้นมาจนแทบห้ามใจให้เกาไม่ไหว ทำไมจึงเกิดอาการคันเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อแผลใกล้หาย? แพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุ แต่มีหลายทฤษฎีที่อาจอธิบายได้ดังนี้ กระบวนการของการสมานแผล ก่อนจะหาคำตอบของคำถามว่า ทำไมจึงเกิดอาการคันเมื่อแผลใกล้หาย คุณควรทำความเข้าใจกระบวนการเยียวยาตนเองของแผล ผิวหนังเป็นปราการด่านแรก ในการต่อสู้กับสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เปรียบเหมือนระบบรักษาความปลอดภัย เมื่อบริเวณรอบๆ ถูกรุกราน จะเกิดสัญญาณเตือน ทำให้ร่างกายทำปฏิกิริยาบางอย่าง และเริ่มกระบวนการเยียวยา สี่ขั้นตอนในกระบวนการของการสมานแผล ขั้นตอนแรกคือ การห้ามเลือด (hemostasis) หลังจากที่เส้นเลือดบีบแคบลง ทำให้เลือดไหลช้าลง เกล็ดเลือดจะเกาะกลุ่มกัน และเกิดเป็นลิ่มเลือดบริเวณบาดแผล การแข็งตัวของเลือดนี้เกิดขึ้นเมื่อเส้นใยในเลือดหรือไฟบริน (Fibrin) สร้างตาข่ายเส้นใย และดักเกล็ดเลือดกับเซลล์เม็ดเลือดแดงเอาไว้เพื่อสร้างเป็นลิ่มเลือด ขั้นต่อไปคือขั้นอาการอักเสบ เกิดขึ้นในระหว่างที่ร่างกายเริ่มทำความสะอาดบาดแผล สิ่งสกปรกต่างๆ ถูกกำจัดออกไปจากบาดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ระยะเพิ่มจำนวน คือขั้นต่อมาที่ร่างกายเริ่มสร้างเส้นเลือดใหม่และผิวหนังใหม่ ขั้นสุดท้าย คือขั้นของปรับตัวและฟื้นฟู เซลล์ที่ถูกทำลายจะได้รับการซ่อมแซม รวมถึงเซลล์ประสาทด้วย ทำไมจึงเกิดอาการคันเมื่อแผลใกล้หาย มีหลักการมากมายที่สามารถอธิบายการเกิดสะเก็ดแผลที่ทำให้คัน ในสะเก็ดแผลมีฮีสตามีน ที่ทำให้ผิวหนังรอบบาดแผลระคายเคือง แพทย์บางท่านคิดว่าเป็นกลไกของร่างกาย ในการกำจัดสะเก็ดแผลที่ไม่ต้องการอีกต่อไป เมื่อเกิดอาการคัน คุณมักเกา และสะเก็ดจะหลุดออก แต่ก็มีข้อบกพร่องในทฤษฎีนี้ เนื่องจากในบางครั้งอาการคันที่สะเก็ดแผล เกิดขึ้นก่อนที่แผลจะสมานเสียอีก ทฤษฎีที่สองเกี่ยวข้องกับเส้นประสาทที่ถูกทำลาย เมื่อเกิดแผลที่ผิวหนัง เมื่อร่างกายเริ่มเยียวยาตนเอง เส้นประสาทจะไวต่อความรู้สึกมากกว่าปกติ เมื่อแผลเริ่มหาย สัญญาณต่างๆ อาจส่งผลกระทบ และสมองได้รับสัญญาณผิดประเภท จึงตีความว่าเป็นอาการคัน และทำให้ร่างกายต้องเกาสะเก็ดที่เกิดขึ้น อีกทฤษฎีหนึ่งก็คือ ในขณะที่แผลเริ่มสมาน สะเก็ดแผลจะดึงรั้งผิวหนังใหม่ […]

ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา
ad iconโฆษณา

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเรา

ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของ Hello คุณหมอ ประกอบไปด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มาร่วมสร้างสรรค์บทความในเว็บไซต์ของเราตามความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญของเราจะช่วยรับรองว่าข้อมูลด้านสุขภาพของเราถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และตรงตามหลักฐานจากงานวิจัยล่าสุด
ทีมผู้เชี่ยวชาญของเรามุ่งมั่นเต็มที่ในการช่วยให้คุณได้รับข้อมูลและความรู้ด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ และพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพกับคุณเสมอ เพื่อให้คุณได้รับทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

ดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ชุมชน